บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

รู้รอบตอบชัด สารพัด “ยาลดกรด”


นศภ. ณภัทร สัตยุตม์
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สำหรับคนที่มีนิสัยรับประทานรสจัด รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ชอบรับประทานกาแฟ
รับประทานยาแก้ปวดชนิดกัดกระเพาะตอนท้องว่างอยู่บ่อยๆ สูบบุหรี่ดื่มน้ำอัดลม มีความเครียดสะสม
วิตกกังวลเป็นประจำ อาการหนึ่งที่คนกลุ่มนี้มักจะพบ คือ อาการปวดท้องจากกรดเกินที่กระเพาะอาหาร
ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแผลในกระเพาะอาหาร แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือกรดไหลย้อนได้ในอนาคต โดยยา
ที่ใช้บรรเทาอาการดังกล่าว หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นยาในกลุ่ม “ยาลดกรด”
ยาลดกรดออกฤทธ์ิอย่างไร?
กลไกในการออกฤทธิข์ องยาลดกรดคือการนำความเป็นด่างของยาสะเทินกับกรดใน กระเพาะ
อาหารหรือลำไส้เพื่อลดความเป็นกรด เมื่อความเป็นกรดลดลงการกัดกร่อนของกรดที่จะทำให้เกิดแผล
หรือการทำให้แผลที่ มีอยู่ระคายเคืองจึงลดลงและให้ผลในการบรรเทาอาการ
ยาลดกรดชนิดต่างๆ และคุณสมบัติ
ยาลดกรดที่มีในท้องตลาดมีหลากหลายชนิดซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเด่นและด้อยแตกต่างกัน
ออกไป ดังนี้
1. ยาทีมี่ส่วนผสมของสารประกอบอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminium hydroxide, AlOH3)
2. ยาทีมี่ส่วนผสมของสารประกอบแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (magnesium hydroxide, MgOH2)
แมกนีเซียมไตรซิลิเกต (magnesium trisilicate) หรือแมกนีเซียมคาร์บอเนต
(magnesium carbonate, MgCO3)
ยาสองชนิดนี้มักใช้เป็นสูตรผสมคู่กัน โดยจัดเป็นยาลดกรดที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อย
ออกฤทธิเ์ฉพาะที่กระเพาะอาหารจึงไม่รบกวนสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย โดยอลูมิเนียมไฮดร
อกไซด์ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์มีผลทำให้เกิดอาการท้องเสีย
ได้ ดังนั้นเมื่อใช้เป็นสูตรผสมรับประทานร่วมกันจึงมีผลต่อระบบขับถ่ายน้อย อลูมิเนียมไฮดร
อกไซด์อาจนำมาใช้ในการลดปริมาณฟอสเฟตในเลือดในผู้ป่วยโรคไต
ในขณะที่แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคไต ดังนั้นยาที่เป็นสูตร
ผสมของยาสองชนิดนี้จึงไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคไต ยาในกลุ่มนี้เช่น แอนตาซิล (Antacil) มาล็
อกซ์ (Maalox) อะลัมมิลค์ (Alum milk)
3. ยาทีมี่ส่วนผสมของสารประกอบโซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate, NaHCO3) หรือ
โซดามินท์ (sodamint) โซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นยาลดกรดชนิดออกฤทธิเ์ร็ว แต่มีฤทธิใ์ น
การรักษาสัน้ การใช้ยานี้สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ คุณสมบัติของยาที่สามารถดูดซึมผ่าน
กระเพาะอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้จึงอาจ ทำให้เลือดและปสั สาวะเกิดสภาวะเป็นด่าง
มากกว่าปกติ รวมไปถึงการมีโซเดียมมากเกิดในกระแสเลือดได้ จึงเหมาะที่จะใช้ในการ
บรรเทาอาการกรดเกินหรือการระคายเคืองทางเดินอาหาร เมื่ออาการกำเริบ แต่ไม่เหมาะ
สำหรับการใช้เป็นประจำเพื่อควบคุมภาวะความเป็นกรด นอกจากยานี้จะใช้ในการลดกรดใน
ทางเดินอาหารแล้ว ยังอาจพบการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตในการควบคุมความสภาวะความ
เป็นกรดในเลือดใน ผู้ป่วยโรคไตอีกด้วย ยาในกลุ่มนี้ เช่น อีโน (ENO)
4. ยาทีมี่ส่วนผสมของสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate, CaCO3)
แคลเซียมคาร์บอเนตให้ฤทธิใ์ นการรักษาและออกฤทธิไ์ ด้เร็วระดับปานกลาง ยานี้อาจมีผลทำ
ให้ท้องผูกได้
ยาที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของยาลดกรด
นอกจากตัวยาที่มีฤทธิใ์ นการลดกรดแล้ว ยาที่วางขายในท้องตลาดมักผสมตัวยาชนิดอื่นเพื่อ
เสริมประสิทธิภาพในการรักษา และบรรเทาอาการอันเนื่องมาจากกรดอีกด้วย ยาดังกล่าว ได้แก่
1. ไซเม็ททิโคน (simethicone) หรือไดเมทิลโพลีไซโลเซน (dimethyl polysiloxane, MPS) เป็น
สารลดแรงตึงผิวที่ทำให้ฟองและแก๊สในกระเพาะอาหารสามารถระบายออกจากอาหาร ที่
กำลังถูกย่อยได้ จึงใช้บรรเทาอาการท้องอืด เนื่องจากมีแก๊สมากในกระเพาะและลำไส้ ยาใน
กลุ่มนี้เช่น แอร์เอ็กซ์ (Air-X)
2. บิสมัท ซับซาลิไซเลต (bismuth subsalicylate) เป็นยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อที่
ทำให้เกิดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร โดยตัวยามีความสามารถในการลดกรดอย่าง
อ่อนๆ ยาในกลุ่มนี้เช่น แกสโตร-บิสมอล (Gastro-bismol)
3. กรดอัลจินิก (algenic acid) หรือ โซเดียมแอลจิเนต (sodium alginate) เป็นสารกลุ่มเดียวกับ
แป้งที่เมื่อสัมผัสกับกรดจะพองตัวเป็นเจลที่มีความสามารถในการจับกับแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์เกิดเป็นโฟม โดยโฟมที่เกิดขึ้นจะมีความหนืดและลอยตัวเป็นแพอยู่บน
ผิวของอาหารที่ถูกย่อยอยู่ในกระเพาะอาหาร ยาจึงช่วยลดการระเหยของไอกรดไปที่ยัง
หลอดอาหาร ลดการระคายเคืองจากกรดในกระเพาะ มักใช้ร่วมกับยาลดกรดประเภท
โซเดียมไบคาร์บอเนต ยาในกลุ่มนี้เช่น กาวิสคอน (Gaviscon)
หมายเหตุ Gaviscon เป็นยาที่มีส่วนประกอบของโซเดียมไบคาร์บอเนต แคลเซียม
คาร์บอเนต และโซเดียมแอลจิเนต โดย Gaviscon dual action จะมีปริมาณตัวยาที่ใช้ในการ
ลดกรดมากกว่า Gaviscon สูตรปกติ
เอกสารอ้างอิง
1. Hoogerwerf WA, Pasricha PJ. Agent used for control of gastric acidity and treatment of
peptic ulcers and gastroesophageal reflux disease. In:Hardman JG, Limbird LE, editors.
Goodman & Gilman’s the pharmacological basis of therapeutics. 10th ed. New York: The
McGraw-Hill Companies, Inc; 2001. p.1005-20
2. Bismuth subsalicylate. In :DRUGDEX System (database on Internet). Ann Arbor (MI): Truven
Health Analytics; 2014 [cited 23 May 2014]. Available from:
http://www.micromedexsolutions.com
3. Erwin K, et al. Drug Fact and Comparisons. Missouri: Wolters Kluwer Health; 2009.p.1774-
80.
4. Mandel KG, Daggy BP, Brodie DA, Jacoby HI. Review article: alginate-raft formulations in
the treatment of heartburn and acid reflux. Aliment Pharmacol Ther. 2000 Jun;14(6):669-90.
5. MIMS Thailand. 134th ed. Bangkok: TIMs; 2014.
READ MORE - รู้รอบตอบชัด สารพัด “ยาลดกรด”

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แพ้ยา ป้องกันได้


นศภ. ดวงกมล กฤษณพิพัฒน์
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
แพ้ยา คืออะไร ?
การแพ้ยาคือปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองต่อยาผ่านระบบภูมคุ้มกัน เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่
ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างสารออกมาเพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น กระบวนการ
ดังกล่าวทำให้เกิดอาการแพ้ในลักษณะต่าง ได้แก่ ผื่น ริมฝีปากบวม เปลือกตาบวม หรือในบางรายอาจมี
การแพ้ที่รุนแรง เช่น เป็นผื่นที่มีลักษณะผิวหนังหลุดลอก ความดันโลหิตต่ำและหยุดหายใจ
แพ้ยาซํ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่แพ้ยานั้นเมื่อได้รับยาชนิดนั้นเข้าไปในครัง้ แรกจะเกิดการกระตุ้นเซลล์ในระบบ
ภูมิคุ้มกันให้กลายเป็น memory cell เพื่อจดจำยาชนิดนั้นไว้ ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดนั้นในครัง้
ต่อมา ปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจึงเกิดได้เร็วกว่าในครัง้ แรก ทำให้อาการแพ้เกิดขึ้นหลังจากใช้
ยาในทันที เป็นวัน หรืออาจเป็นสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับกลไกในการแพ้แต่ละชนิด โดยการจัดการที่เหมาะสม
สำหรับการแพ้ยาคือ ให้หยุดใช้ยานั้นทันที และ ห้ามใช้ยานั้นอีกต่อไป
ยาในกลุ่มเดียวกันจะมีโอกาสแพ้ด้วยหรือไม่
เนื่องจากโครงสร้างของยาที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น (antigen) ทำให้เกิดการสร้างสารต่อต้าน
จากร่างกายอาจจะเป็นโครงสร้างส่วนใดส่วนหนึ่งของโมเลกุลยา ดังนั้นการแพ้ยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจึง
เกิดขึ้นได้ โดยเรียกการแพ้ยาที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกันในลักษณะนี้ว่า การแพ้ยาข้ามกัน (cross
reactivity)
กลุ่มยาที่พบการแพ้ยาข้ามกันมากที่สุดได้แก่ ยาปฏิชีวนะในกลุ่มบีต้าแลคแตม (beta-lactams)
ซัลโฟนาไมด์ (sulfonamides) ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และกลุ่ม
ยากันชักโดยยาที่มีโครงสร้างคล้ายกันอาจมีการแพ้ยาข้ามกันได้ แต่อย่างไรก็ตามการแพ้ยาข้ามกันบาง
กรณีไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาการแพ้แต่เป็นผลจากฤทธิท์ างเภสัชวิทยาของยาเอง เนื่องจากยาในกลุ่ม
เดียวกันมักจะมีฤทธิท์ างเภสัชวิทยาใกล้เคียงกัน โดยไม่ได้สัมพันธ์กับสูตรโครงสร้าง หากอาการ
เหล่านั้นเกิดจากผลข้างเคียงของยา ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดยาหรือห้ามใช้ยานั้น
แพ้ยาซ้ำ ป้ องกันได้อย่างไร
สำหรับแนวทางปฏิบัติของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้ยา ผู้ป่วยจะได้รับบัตรแพ้ยาจาก
โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ผู้ป่วยควรพกบัตรแพ้ยาติดตัวและแสดงบัตรแพ้ยาทุกครัง้ เมื่อเข้ารับการ
ตรวจรักษาหรือรับยา รวมทัง้ มีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ (1) พยายามจดจำชื่อยาที่ท่านเคยแพ้ (2)
สอบถามชื่อยา สรรพคุณ วิธีใช้อย่างละเอียดเมื่อต้องใช้ยาใดๆก็ตาม (3) บอกแพทย์ผู้ทำการรักษา ผู้
จ่ายยา หรือนำบัตรแพ้ยานี้ไปแสดงทุกครัง้ ที่ซื้อยารับประทานเอง (4) หลีกเลี่ยงยาหรือกลุ่มยาที่เคยแพ้
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่ทราบชื่อ ยาชุด หรือยาซอง (5) หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าแพ้ยาใด ให้
หยุดยาทันที และนำตัวอย่างยาดังกล่าว มาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากอาการแพ้ยานั้นอาจ
รุนแรงถึงเสียชีวิตได้
ดังนั้นการได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการแพ้และการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยป้องกัน
การแพ้ยาซ้ำและไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียประโยชน์จากการพิจารณาใช้ยาในกลุ่มเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง
1. Frew A. General principles of investigating and managing drug allergy. Br J Clin
Pharmacol.2011; 71: 642-6.
2. Solensky R, Khan DA, editors. Drug allergy: an updated practice parameter. Ann
Allergy Asthma Immunol. 2010; 105: e1-e78.
3. Depta JP, Pichler WJ. Cross-reactivity with drugs at the T cell level. Curr Opin Allergy
Clin Immunol. 2003; 3: 261-7.
READ MORE - แพ้ยา ป้องกันได้

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความรู้เรื่องวัคซีน HPV (Human Papilomavirus Vaccine)


รองศาสตราจารย์ ดร.ชะอรสิน สุขศรีวงศ์
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งในประเทศไทย พบมะเร็งปากมดลูกสูงเป็นอันดับสอง (รองจากมะเร็ง
เต้านม) คือ 19.8 คน ต่อแสนประชากรหญิง หรือในประชากรหญิงทุกห้าพันคนจะพบหนึ่งคนที่เป็นมะเร็ง
ปากมดลูก โดยมี Human Papilomavirus หรือ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสายพันธุ์ของ HPV
ที่ก่อโรคมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยประมาณร้อยละ 70-75 คือสายพันธุ์ 16 และ 18 เช่นเดียวกับใน
ต่างประเทศ ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกจากการติดเชื้อ HPV
สองสายพันธุ์นี้
ในขณะนี้วัคซีน HPV มี 2 ชนิด คือ Quadrivalent vaccine (ชนิดไวรัส 4 สายพันธุ์ คือ 6, 11, 16
และ 18) และ Bivalent vaccine (ชนิดไวรัส 2 สายพันธุ์ คือ 16 และ 18) แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการ
ติดเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากสองสายพันธุ์ นัน่ คือ สายพันธุ์ 16 และ18 ซึ่งเป็น
สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกประมาณร้อยละ 70 ดังนั้นสำหรับการเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปาก
มดลูกจึงสามารถเลือกใช้ได้ทัง้ สองชนิด ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์
16 และ18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อแล้ววัคซีนไม่
สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคได้
ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม
ส่วนระยะเวลาในการป้องกันโรคของวัคซีนยังคงต้องติดตามผลต่อไป เนื่องจากวัคซีนยังไม่มีข้อมูล
ประสิทธิผลของวัคซีนยาวเกินกว่า 10 ปี และเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีน HPV ควรได้รับ
วัคซีนตัง้ แต่ยังไม่ติดเชื้อ HPV นัน่ คือ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครัง้ แรก ซึ่งวัคซีนนี้สามารถฉีดได้ตัง้ แต่อายุ 9
– 26 ปี
ข้อควรระวัง
วัคซีนไม่แนะนำให้ฉีดในหญิงตัง้ ครรภ์ และไม่ควรฉีดในผู้ที่แพ้วัคซีนและส่วนประกอบในวัคซีน
อาการข้างเคียง
สามารถพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีนและอาจมีไข้ได้
ความคุ้มค่า
วัคซีน HPV สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ แต่เนื่องจากวัคซีนมีราคาค่อนข้างสูง (เมื่อ
เปรียบเทียบกับวัคซีนชนิดอื่นๆที่ใช้ในการป้องกันโรค) ดังนั้น การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของแต่ละ
บุคคลด้วย
ข้อควรรู้
1. วัคซีน HPV มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ HPV เฉพาะสายพันธุ์ที่ทำวัคซีนเท่านั้น ส่วน
สายพันธุ์อื่นๆ อาจป้องกันได้บ้าง
2. ผลในการป้องกันการติดเชื้อจะได้ผลเต็มที่ต่อเมื่อยังไม่เคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อน
3. ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น
เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องการการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์
เอกสารอ้างอิง
1. Grabenstein John D. ImmunoFacts : Vaccines and Immunologic Drugs-2010. St. Louis,
Mo.: Wolters Kluwer Health; 2009.
2. HPV and Cancer. National Cancer Institute; [cited 2013 June 9]; Available from:
http://www.cancer.gov/cancertopics/factsheet/Risk/HPV#r6.
3. Human Papillomavirus (HPV) Vaccines. National Cancer Institute; [cited 2013 June 9];
Available from: http://www.cancer.gov/cancertopics/factsheet/Prevention/HPV-vaccine.
4. วัคซีน : การวิจัยพัฒนา การผลิต การควบคุมคุณภาพ และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค. จรุง เมือง
ชนะ, สมฤดี จันทร์ฉวี, บรรณาธิการ. นนทบุรี: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหาร
ผ่านศึก; 2555.
READ MORE - ความรู้เรื่องวัคซีน HPV (Human Papilomavirus Vaccine)

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ยาตีกัน


นศภ. กุลวดี ชูชะเอม
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

อันตรกิริยาระหว่างยาหรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆ ว่า ยาตีกันเป็นปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้ร่วมกัน
ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปทำให้ระดับยาในเลือดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งส่งผลต่อการรักษาและความ
ปลอดภัยของการใช้ยาโดยระดับยาที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หรือเป็นพิษได้ ในทาง
กลับกันระดับยาที่ลดต่ำลงอาจส่งผลต่อการรักษา ทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเกิดโรคแทรกซ้อนที่
อันตรายภายหลัง อันตรกิริยาระหว่างยานี้เกิดได้จาก 2 กลไกหลักได้แก่

1. ปฏิกิริยาระหว่างยาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ของยาแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ

1.1 ยา 2 ชนิดที่ได้รับมีการออกทธิตรงข้ามกันส่งผลให้การออกทธิของยาแต่ละตัวลดลง ทำให้
ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดไว้

1.2 ยา 2 ชนิดที่ได้รับมีการออกฤทธิ์คล้ายคลึงกันส่งผลเพิ่มการออกฤทธิ์ องยามากกว่าได้รับยา
เพียงตัวเดียวผลการรักษาอาจดีขึ้นแต่ผลข้างเคียงก็อาจเพิ่มมากขึ้นด้วย

2. ปฏิกิริยาระหว่างยาทีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับยาในเลือด

ยาตัวหนึ่งส่งผลต่อปริมาณยาอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากยาดังกล่าวรบกวนกระบวนการต่างๆ เช่น การดูด
ซึม การจับกับโปรตีนในเลือด กระบวนการเปลี่ยนสภาพยาและกระบวนการกำจัดยา ทำให้ระดับยาอีก
ตัวหนึ่งในเลือดเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปกติ ส่งผลต่อการรักษาและความเป็นพิษของยา
นอกจาก 2 กลไกหลักที่กล่าวมาข้างต้นยังพบอันตรกิริยาระหว่างยาที่เกิดจากการเตรียมยา ซึ่งยา 2
ชนิดเมื่อผสมเข้าด้วยกันในสารละลายทำให้เกิดตะกอนหรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความไม่เข้ากัน
ทำให้ผลการรักษาลดลงหรือไม่ได้ผล

ยาลดกรด(แอนตาซิก) ซึ่งเป็นยาพื้นฐานที่ใช้รักษาอาการไม่สบายท้อง และสามารถหาซื้อได้ตามร้าน
ขายยาทั่วไป สามารถเกิดอันตรกิริยาระหว่างยากับยาใดได้บ้าง

O ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเตร้าไซ้ลิ่นและยากลุ่มพล้อโรควิโนโลน
ส่วนประกอบในยาลดกรดจำพวกแมกนีเซียมและอะลูมิเนียม สามารถเกิดสารประกอบเชิงซ้อน
ที่ไม่ละลายน้ำกับตัวยาฆ่าเชื้อ ทำให้การดูดซึมยาฆ่าเชื้อลดลง ส่งผลต่อระดับยาในเลือด ถ้าระดับยาฆ่า
เชื้อต่ำมาก อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล

O ยาฆ่าเชื้อรากลุ่มเอโซลโดยเฉพาะยาคโตโคนาโซล
การดูดซึมของยากลุ่มนี้ เกิดขึ้นได้ดีเมื่อกระเพาะอาหารอยู่ในภาวะกรด ดังนั้นการรับประทานยา
นี้ร่วมกับยาลดกรดจะทำให้กระเพาะอาหารเป็นกรดลดลง ร่างกายจึงดูดซึมยาได้ปริมาณน้อยลง

O ยากันชัก
ยากลุ่มนี้เป็นยาที่มีช่วงระดับยาในการรักษาแคบ หากได้รับร่วมกับยาลดกรดแล้ว ส่งผลให้ยา
บางตัวถูกดูดซึมเข้าสู่เลือดได้มากขึ้นจนเกิดพิษบางตัวดูดซึมลดลงจนไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยานั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น การให้
ความร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการแจ้งชื่อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ที่ใช้อยู่เป็น
ประจำ การปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างเคร่งครัด ก็เป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยง
ในการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้ อีเก้ง ทำให้เกิดความคุ้มค่าจากการใช้ยาแก่ตัวเรามากที่สุดด้วย

เอกสารอ้างอิง
1. ศูนย์พัฒนาทรัพยากรการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ความผันแปรในการตอบสนองต่อ
ยา (Individualization variation and drug interaction) [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 เม
ยายน 2557]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/0702%20303/Html/Unit4_6.htm
2. Tatro DS. Drug Interaction Facts.Missouri: Wolters Kluwer Health ;2012.
3. Kashuba AD, Bertino JS. Mechanisms of Drug Interactions I. Infect Dis 2005:13-39.
4. Fish DN. Fluoroquinoloneadverse effects and drug interactions[Internet]. [Cited 2012
Apr 4]. Available from: http://www.medscape.com/viewarticle/418295_4

READ MORE - ยาตีกัน

“ยาล้างไต” กับความเข้าใจผิดๆ


เภสัชกร สุรศักด์วิชัยโย
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

    บ่อยครั้งที่มีผู้ป่วยมาขอซื้อยาล้างไตที่ร้านยาด้วยวัตถุประสงค์แตกต่างกัน เช่น บางรายมีอาการ ปวดบริเวณเอวด้านหลังและกลัวว่าจะเป็นโรคไต จึงอยากได้ยาล้างไตเพื่อล้างทำความสะอาดและขับ สารพิษออกจากไต หรือบางรายมีอาการปัสสาวะแสบขัดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน จึงอยาก ได้ยาล้างไตโดยเข้าใจว่าจะสามารถล้างภายในอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะให้สะอาดได้ อย่างไรก็ ตาม ยาล้างไตที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้น จริงๆแล้วเป็นยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับ ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะเนื่องจากในตำรับยาประกอบด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และขับปัสสาวะ

   ยาปัสสาวะจะมีสีน้ำเงินหรือเขียว ขึ้นกับสีพื้นเดิมของปัสสาวะว่าใสหรือเหลือง จึงอาจทำให้ผู้ป่วยบาง รายเข้าใจว่ายาไปขับสารพิษหรือสิ่งสกปรกภายในไตและทางเดินปัสสาวะออกมา ตัวอย่างตำรับยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับขับปัสสาวะและบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ

 ยาล้างไตนอกจากนี้ หากใช้ยานี้อย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้

1) ไม่ได้ผลในการรักษาโรค เช่น หากอาการปวดเอว หรืออาการปสั สาวะขัดนั้นมีสาเหตุจากนิ่ว ในทางเดินปัสสาวะ ยานี้คงไม่สามารถรักษาให้หายได้

2) ได้รับผลเสียจากยา เช่น สารเมทิลีนบลู ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ไตบกพร่องรุนแรง และไม่ควรใช้ในผู้ ที่มีภาวะพร่องเอ็นไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เม็ดเลือด แดงแตกได้ง่าย อีกทั้ง สารดังกล่าวอาจตีกับยาบางชนิด เช่น หากใช้ร่วมกับยาต้านอาการ ซึมเศร้า อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากยาต้านอาการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสแพ้ส่วนประกอบอื่นๆในตำรับยาอีกด้วย ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยและมีความประสงค์ที่จะใช้บริการร้านยา ผู้ป่วยควรแจ้งอาการเจ็บป่วยที่เป็น ให้เภสัชกรทราบ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการรักษาและการใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสม หรือควรไปพบ

แพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการหรือโรคนั้นๆ
เอกสารอ้างอิง
1. ฐานข้อมูลทะเบียนตำรับยา สำนักยา, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวง
สาธารณสุข. Available from: http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp
2. Head KA. Natural approaches to prevention and treatment of infections of the lower
urinary tract. Altern Med Rev. 2008;13(3):227-244.
3. Srinivasan K. Biological activities of pepper alkaloids. In: Natural products. Ramawat KG
and Me´rillon JM, eds. New York: Springer-Verlag Berlin Heidelberg; 2013:1397-1437.
4. Gemmill CL. The pharmacology of squill. Bull N Y Acad Med. 1974;50(6):747-750.
5. Butler AR, Feelisch M. Therapeutic uses of inorganic nitrite and nitrate: from the past to
the future. Circulation. 2008;117(16):2151-2159.
6. Ginimuge PR, Jyothi SD. Methylene blue: revisited. J Anaesthesiol Clin Pharmacol.
2010;26(4):517-520.

READ MORE - “ยาล้างไต” กับความเข้าใจผิดๆ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดีท็อกลำไส้ ล้างพิษ ให้คุณหรือให้โทษ



รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

กระแสนิยมของการรักสุขภาพของผู้คนในยุคปัจจุบันทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้ประชากรมีสุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนยาวความรู้เรื่องการล้างพิษของร่างกายมีมากมายมีทั้งน่าสนับสนุนและน่าเป็นห่วง จึงขอนำรายละเอียดทางวิชาการและข้อคิดจากแพทย์ นักวิทยาศาสตร์มาเล่าสู่กันฟัง

ที่มาของ สารพิษ

ศตวรรษที่ 20 นับเป็นช่วงเวลาที่สังคมให้ความสนใจเรื่องสารพิษที่มีผลต่อสุขภาพคนเรามากมายอย่างชนิดที่ไม่เคยมีในอดีต เนื่องจากทุกวงการไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์และอุตสาหกรรมทุกชนิด มีการใช้สารเคมีชนิดคิดค้นได้ใหม่ๆที่แรงขึ้น เข้มข้นขึ้น มีผลทำให้สิ่งแวดล้อมทัง้ ในอากาศและน้ำเกิดมลภาวะ รังสียูวีที่ตกถึงโลกมากขึ้น สังคมมีการวิจัยยาใหม่ๆสารเคมีใหม่ๆ ไอทีแปลกใหม่และรวดเร็ว ผู้คนในสังคมมีการบริโภคทุกอย่างมากขึ้นทัง้ จำนวนและชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น อาหารจานด่วน ทั้งไก่ทอดแฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า โดนัท ไอศกรีม สารพัดเค้ก รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล ผู้คนในสังคมอยู่

   ในกระแสสังคมวัตถุนิยมที่มีภาวะเร่งรีบทุกวันต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่แต่กลับบ้านค่ำคร่ำเคร่งกับงานที่รีบเร่ง มีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารที่รับประทานส่วนใหญ่อาศัยจากอาหารจานด่วนหรืออาหารถุง หาซื้อจากร้านค้า ริมถนนและถ้ามีเงินมากเป็นเศรษฐีก็นิยมกินตามห้องอาหารในโรงแรมผลลัพธ์ที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนักในภาพรวมไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือคนกินเงินเดือนคือร่างกายอ่อนเพลียจากความเร่งรีบการทำงานที่เคร่งเครียด รับประทานอาหารที่ทิ้งโทษสะสมไว้ในร่างกายสิ่งแวดล้อมทั้งในอากาศและน้ำเป็นพิษจากอุตสาหกรรมสังคมบังเกิดโรคระบาดชนิดใหม่ๆทั้งกับคนและสัตว์นักวิทยาศาสตร์ต้องเร่งคิดค้นสารเคมีและตัวยาที่ใหม่ขึ้นและแรงขึ้นในการบำบัดนอกจากนี้ยังปรากฏพบทั่วไปว่าคนรอบข้างมีสถิติล้มตายด้วยโรคมะเร็งหัวใจโรคอ้วนโรคเครียด รวมทัง้ โรคผิวหนังมากขึ้นสารพิษจากทั้ง ภายนอกและภายในร่างกายจึงสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน จากการหายใจเข้าไปจากการกิน และจากการสัมผัส
วิธีกำจัดสารพิษจากร่างกาย

   ร่างกายมนุษย์ในสภาวะแข็งแรงไม่เป็นโรคอาจเปรียบเหมือนโรงงานที่มีระบบการทำงานสมบูรณ์แบบเมื่อมีอาหารผ่านเข้ากระเพาะอาหารจะมีน้ำย่อยถูกขับออกมาย่อยอาหารก่อนการดูดซึมส่วนกากอาหารจะถูกนำส่งไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อขับออกรวมกับของเสียอื่นๆจากร่างกายผ่านตับและไตระบบลำไส้ยังมีเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบเป็นประจำเพื่อคอยปราบเชื้อจุลินทรีย์ที่แปลกปลอมเข้าไปส่วนตับจะคอยจับสารพิษที่หลุดรอดเข้าไปโดยไปรวมกับเอนไซม์จากตับจากนั้นจะถูกกรองทิ้งไปที่ไตขบวนการสุดพิเศษที่ธรรมชาติให้มนุษย์เรามานั้นสามารถกำจัดและล้างพิษจากร่างกายเราโดยอัตโนมัติในสภาวะสังคมที่เร่งรีบเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยการแข่งขัน

   ร่างกายอ่อนแอและรับสารพิษทั้ง จากการบริโภคอาหารส่วนเกิน อาหารที่สักแต่ว่าอร่อยและอิ่มท้อง แต่ทิ้งสารพิษสะสมไว้ทุกวัน รวมทั้ง สารพิษจากสิ่งแวดล้อม และสารพิษ หรือ อนุมูลอิสสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายในสภาวะที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบอัตโนมัติของร่างกายในการกำจัดสารพิษอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือทำงานจนอ่อนแรง ทำให้กำจัดพิษออกจากร่างกายไม่หมดก่อให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้การล้างพิษจากตับด้วยกาแฟ และการล้างลำไส้ใหญ่ด้วยนํ้า (Colon hydrotherapy)นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ยุคใหม่กลุ่มหนึ่งคิดค้นวิธีช่วยให้คนเราสามารถล้างพิษจากตับเราเองได้ โดยหลักการคือต้องการป้องกันตับให้ปลอดภัยจากสารพิษที่สะสมและตกค้างมากเกินไป ไม่ว่าจะผู้ที่เป็นโรคที่ต้องรับประทานยาแรงๆ มากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสำหรับผู้ที่ประสงค์จะรักษาสุขภาพให้แข็งแรงป้องกันจากโรคภัยทัง้ หลาย หลักการคือการสวนลำไส้ใหญ่หรือที่เรียกว่าดีท็อกลำไส้ ด้วยสารละลาย เช่น น้ำกาแฟ สารคาเฟอีนและสารอัลคาลอยด์จากกาแฟจะผ่านท่อเชื่อมจากลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง (Sigmoid colon) ไปยังตับ จับกับสารพิษทัง้ หลายในตับรวมทัง้ เอ็นไซม์จากตับเอง กำจัดทิ้งในลำไส้ใหญ่และกำจัดออกจากร่างกายในที่สุด วิธีนี้นิยมทำกันมาช้านานโดยนักวิชาการทางการแพทย์บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นการล้างพิษจากร่างกายที่ได้ผลและทำให้ร่างกายมีอายุยืนยาวขึ้น ผิวพรรณผุดผ่อง การสวนลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟมักจะแนะนำให้ทำอย่างสม่ำเสมอเดือนละหนึ่งครั้งส่วนการดีท็อกลำไส้ โดยการล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสะอาดนั้น เนื่องจากนักวิชาการกลุ่มนี้เชื่อว่าทุกวันนี้ผู้คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่มีชีวิตที่เร่งรีบ เครียด ทำให้เป็นโรคท้องผูก มีการสะสมอุจจาระและของเสียมากในลำไส้ใหญ่ อาจเป็นที่มาของการเกิดมะเร็งลำไส้ จึงได้คิดค้นวิธีล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยการฉีดน้ำสะอาดเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ในปริมาณมากเท่าที่แต่ละคนจะทนรับได้ ปล่อยเวลาให้น้ำอยู่ในลำไส้ใหญ่สักพัก 1-10 นาที จึงปล่อยทิ้ง ทุกครั้งที่ปล่อยน้ำทิ้ง อุจจาระและของเสียที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้จะถูกขับออก ทำเช่นนี้เป็นระยะเวลา30-40 นาทีต่อการล้างพิษหนึ่งครัง้นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมสารพัดชนิดรวมทัง้ สมุนไพรหลากหลายที่ถูกนำมาวางจำหน่ายในท้องตลาด โดยอ้างสรรพคุณที่สามารถล้างพิษจากร่างกายได้ ทำให้โรคหนักที่ร้ายแรงบรรเทาลงและช่วยให้คนปกติแข็งแรง ชะลอวัยมีผิวพรรณสะอาดสดใสเปล่งปลั่งยังไม่รวมถึงอุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้ห่อรัดเอว ตะโพกและส่วนอื่นๆที่ประชาสัมพันธ์ว่าสามารถล้างพิษจากร่างกายได้อันตรายของการล้างพิษหรือดีท็อกลำไส้
 
   วิธีคิดรวมถึงขบวนการดีท็อกล้างพิษด้วยการสวนกาแฟการล้างลำไส้ใหญ่และด้วยรูปแบบอื่นๆได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลกมากมายว่าไม่เหมาะสมและเป็นอันตรายได้ถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวนสำไส้ใหญ่ด้วยนํ้ากาแฟล้างพิษจากตับหรือการล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสะอาดเพื่อขับอุจจาระและของเสียพบว่าผู้คนที่ผ่านการบำบัดเช่นนี้ส่วนใหญ่จะเกิดอาการท้องผูก ไม่สามารถ
ขับถ่ายเองได้ เพราะขบวนการล้างพิษนั้นเปรียบเสมือนยาถ่ายดีๆนี่เอง หากใช้เป็นประจำ ลำไส้จะเคยชินและตอบสนองช้า ทำให้กล้ามเนื้อและการบีบตัวของ

   ลำไส้ถดถอย ทำงานเองไม่ได้ต้องพึ่งพาวิธีสวน เป็นการเพิ่มภาระเพิ่มปัญหาต่อผู้บริโภคอันตรายที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวนลำไส้ทำให้เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายหากอุปกรณ์ไม่สะอาด อาจถึงตายได้ อันตรายมากต่อผู้บริโภคที่เป็นโรคหัวใจ โรคความดัน และโรคลำไส้อักเสบบางรายลำไส้เกิดทะลุระหว่างการล้างพิษเนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหาลำไส้ อักเสบและผนังลำไส้บาง ขบวนการเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่แนะนำให้นำมาใช้กับคนปกติเพียงเพื่อต้องการรักษาสุขภาพเท่านั้น เพราะมีวิธีอื่นมากมายในการรักษาสุขภาพ แม้แต่คนป่วยด้วยโรคร้ายแรงเช่นมะเร็ง หรืออื่นๆ แพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าวิธีการล้างพิษต่างๆไม่สามารถช่วยบรรเทาโรคได้นอกจากทำให้คนป่วยเสียเงินและอาจเสียโอกาสที่จะบำบัดด้วยวิธีการและหลักการแพทย์ที่ถูกต้องการป้ องกันตนเองจากสารพิษที่พึงปฏิบัตินักวิทยาศาสตร์การแพทย์รวมทัง้ แพทย์นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศให้ความเห็นตรงกันว่าร่างกายคนเรามีระบบอัตโนมัติในการกำจัดของเสียจากร่างกาย และทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ดังนั้นการล้างพิษและล้างลำไส้จึงไม่จำเป็น
วิธีการป้องกันตนเองจากสารพิษทำได้ด้วย

 การกินอยู่ที่เรียบง่าย

-                    ให้เวลากับตนเองได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ทุกวัน
-                    รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเป็นส่วนใหญ่ มีผักสดและผลไม้มากๆ
-                    พยายามรับประทานอาหารให้หลายหลาย อย่าจำเจหรือซ้ำๆ เพื่อป้องกันการสะสมสาร
-                    อันไม่พึงประสงค์มากขึ้นในร่างกาย ดื่มน้ำมากๆวันละหลายๆแก้วใหญ่เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวและขับออกง่าย
-                    ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะตามวัยอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้น้ำเหงื่อคายออกที่ผิวหนัง
-                    ช่วยให้ผิวพรรณสะอาด และควรขับของเสียจากจิตใจด้วยการนัง่ สมาธิ จะช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง คลายเครียด
-                    จากหน้าที่การงานรวมทัง้ การพักผ่อนด้วยการเดินทางกับครอบครัวในวันหยุดเพื่อรับอากาศบริสุทธิ
-                    การจะใช้บริการอโรม่าเทอราปี หรือการบำบัดด้วยการนวดตัวและกลิ่นหอมของ
-                    สมุนไพรก็นับว่าเป็นการคลายเครียดทัง้ ใจและกายได้เช่นกัน ก็ไม่เสียหายเพียงเสียเงินเพิ่มเท่านั้นแต่ก็ปลอดภัยกว่าการล้างพิษด้วยวิธีที่กล่าวข้างต้น



เอกสารอ้างอิง
1. รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล สวยอย่างฉลาด นิตยาสารฉลาดซื้อ มูลนิธิคุ้มครอง
ผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
2. http://www.healthy.net/

READ MORE - ดีท็อกลำไส้ ล้างพิษ ให้คุณหรือให้โทษ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สิวเชื้อรา และการรักษา

สิวเชื้อรา และการรักษา
เภสัชกร สุรศักด์ิ วิชัยโย
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สิว อาจเป็นปญั หากวนใจวัยรุ่นหลายๆคน หรือแม้แต่วัยผู้ใหญ่เองก็พบได้เช่นกัน โดยเฉพาะสิวบน
ใบหน้าที่อาจทำให้สูญเสียความมัน่ ใจได้ ด้วยเหตุนี้ บางคนตัดสินใจไปพบแพทย์ผิวหนัง ขณะที่บางคนเลือกที่จะค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตซึ่งมักมีผู้มาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับสิว แล้วทดลองรักษาด้วยตัวเอง แต่หากผื่นที่เราเห็นว่าคล้ายสิวนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่สิวทัว่ ๆไปที่เราคุ้นเคย ยารักษาสิวแบบเดิมที่เราใช้อยู่อาจไม่ช่วยให้หายเป็นปกติ ซึ่งปจั จุบันในเว็บไซต์ต่างๆ มีการกล่าวถึงสิวชนิดหนึ่งเรียกว่า “สิวเชื้อรา” ทัง้ ในแง่ของการให้ความรู้และการตั้งกระทู้ข้อสงสัย เช่น เป็นสิวทำไมหมอจ่ายยาฆ่าเชื้อรา เป็นต้น เรามาดูกันว่า สิว แบบนี้มีจริงหรือไม่ แล้วจะรักษาอย่างไร

สิวเชื้อราคืออะไร
“สิวเชื้อรา” หรือ “สิวยีสต์” อาจเป็นคำที่สื่อความหมายให้ผู้ป่วยเข้าใจได้ง่าย เนื่องจากผื่นที่พบบน
ผิวหนังนั้นมีลักษณะคล้ายสิว และยังบ่งบอกถึงสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อรา แต่แท้จริงแล้ว ในทางการแพทย์
เรียกโรคนี้ว่า “รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา (Malassezia folliculitis เดิมเรียกว่า Pityrosporum folliculitis)”
โดยอาจพบเดี่ยวๆ หรือพบร่วมกับสิวทัว่ ๆไปที่มีสาเหตุจากทัง้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการติดเชื้อ
แบคทีเรีย (Propionibacterium acnes หรือ P. acnes) เป็นต้น
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดสิวเชื้อรา
เชื้อที่มักเป็นสาเหตุของโรคนี้ ได้แก่ เชื้อราประเภทยีสต์ในกลุ่ม “มาลาสซีเซีย (Malassezia species)”
โดยทัว่ ไปจะพบเชื้อชนิดนี้ที่ผิวหนังของทุกคน แต่หากเชื้อมีการเจริญเติบโตมากผิดปกติ จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น เกลื้อน โรครังแคอักเสบ (seborrheic dermatitis) รวมทัง้ โรครูขุมขนอักเสบเป็นต้น ซึ่งผู้ที่มีผิวมัน เหงื่อออกง่าย ผู้ที่อาศัยในสภาพอากาศร้อนและอับชื้น หรือผู้ที่มีรูขุมขนอุดตันจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราได้ นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน (ทัง้ ชนิดรับประทานและทา) โดยเฉพาะยากลุ่มเตตร้าซัยคลิน (tetracyclines) หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น รับประทานยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจส่งเสริมให้เกิดรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราได้ง่ายเช่นกัน
ลักษณะและอาการของสิวเชื้อรา
โรครูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา หรือสิวเชื้อรา ส่วนใหญ่มักเกิดที่ผิวหนังบริเวณหน้าอก แผ่นหลัง แต่
สามารถพบได้ที่ไหล่ คอ และใบหน้า เป็นต้น ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผื่นเม็ดเล็กๆ (papules) มีขนาดใกล้เคียง
กัน (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) และจากการที่เชื้อรา มาลาสซีเซีย เจริญเติบโตมากผิดปกติ

READ MORE - สิวเชื้อรา และการรักษา

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กินอะไร........ชะลอจอประสาทตาเสื่อม


รองศาสตราจารย์ วิมล ศรีศุข
ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

โรคจอประสาทตาเสื่อม คืออะไร

   จอประสาทตา (retina) เป็นส่วนที่อยู่บริเวณหลังสุดของตา เมื่อใช้สายตามองดูสิ่งของแสงที่กระทบสิ่งของจะสะท้อนผ่านเข้ามายังจอประสาทตา ซึ่งจอประสาทตาจะเปลี่ยนแสงให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าแล้วส่งผ่านเส้นประสาทตา (optic nerve) ไปยังสมอง ที่จอประสาทตานี้ จะมีบริเวณที่ไวที่สุดของจอประสาทตา เรียกชื่อว่า แมคูลา ลูเตีย (macula lutea) แมคูลานี้ จะประกอบไปด้วยเซลล์รับแสงนับล้านๆเซลล์ที่ช่วยการมองภาพที่คมชัดตรงส่วนกลางของภาพหากมีการทำลายของแมคูลา การมองภาพก็จะขาดความคมชัดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related macular degeneration (AMD)) เป็นโรคซึ่งเกิดที่ บริเวณ แมคูลา ลูเตีย (macula lutea) โดยเฉพาะ ในโรคนี้จะมีการทำลายแมคูลาไปทีละน้อย โรคอาจจะลุกลามไปช้ามากในคนบางคน ก็จะใช้เวลานานมากกว่าที่จะสูญเสียการมองเห็น แต่ สำหรับในบางคนการลุกลามของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วและอาจมีผลทำให้ตาบอดข้างเดียวหรือ ทั้ง สองข้างได้ โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของตาบอดที่เกิดขึ้นในคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในประเทศ ทางแถบตะวันตก

โรคจอประสาทตาเสื่อมมีกี่ชนิด

โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งตามความรุนแรงออกได้เป็น 2 ประเภท

1. โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (early (or dry) AMD) เป็นรูปแบบที่พบได้มาก ที่สุด ในขั้น เริ่มต้นหรือขั้นปานกลาง พบได้ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการสลายตัวของเซลล์ไวแสงที่บริเวณแมคูลา

2. โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (late (or wet) AMD) พบได้ประมาณร้อยละ 10ของผู้ป่วยโรคนี้ เกิดจากการที่มีหลอดเลือดผิดปกติที่บริเวณหลังจอประสาทตา มีการเจริญของหลอดเลือดใต้แมคูลา หลอดเลือดใหม่ๆเหล่านี้อาจจะมีความเปราะบางและเกิดการรัว่ ของเลือดและของเหลวได้ทำให้แมคูลาบวมและเกิดการทำลายอย่างรวดเร็ว การทำลายนี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นที่จอประสาทตาได้ในช่วงเริ่มต้นของโรคจอประสาทตาแบบเปียกนี้ อาจทำให้มองเห็นเส้นตรงปรากฏลักษณะคล้ายคลื่น ผู้ป่วยอาจจะมี จุดบอดซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีการสูญเสีย

 

การมองเห็นภาพในบริเวณตรงกลางของภาพ

   ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม มีอะไรบ้างมีปจั จัยหลายอย่างที่มีส่วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม เช่นอายุ การสูบบุหรี่ ม่านตาสีอ่อน (light iris coloration) แสงแดด การกินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ และกรรมพันธุ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าโรคจอประสาทตาเสื่อมจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ร่างกายมีกลไกที่จะสามารถป้องกันจอประสาทตาได้หรือไม่ก่อนอื่นลองมาดูว่าแสงที่ผ่านตาเข้ามาแล้วจะไปที่ใดบ้าง เมื่อแสงผ่านเข้าสู่ตา แสงจะผ่านกระจกตา (cornea) และ แก้วตา (lens) ทัง้ นี้ กระจกตาจะสามารถกรองแสงอัลตร้าไวโอเล็ต (UV) บางส่วนไว้ได้ แสงส่วนใหญ่จะถูกส่งผ่านไปยัง จอประสาทตา (retina) พบว่าในบรรดาคลื่นแสงที่เรามองเห็นได้นี้ 


   ผลการศึกษาไม่สม่ำเสมอทั้งหมด แต่การรับประทานลูทีนและซีแซนทีนในรูปของผักและอาหารอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่อันตรายแต่อย่างใด ตารางข้างล่างนี้แสดงถึงปริมาณลูทีนที่พบได้ในผักใบเขียวและอาหารอื่นๆ จะเห็นได้ว่าผักส่วนใหญ่เป็นชนิดที่คุ้นเคยกันในบ้านเรา ผัก 2 ชนิดที่น่าจะมีประโยชน์มากคือ ผักคะน้า และ ผักโขม เนื่องจากมีปริมาณลูทีนสูงที่สุด อาจนำมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจัดเป็นเมนูอาหารต่างๆ เช่น เมี่ยงคะน้าผัดผักคะน้า ผัดผักโขม น้ำปนั่ ผักคะน้า/ผักโขม เป็นต้น น่าจะเป็นผลดีกับสุขภาพของตา

* เฉพาะส่วนที่รับประทานได้
เอกสารอ้างอิง:
1. Bahrain H, Melina M, Dagnelie G. Lutein supplementation in retinitis pigmentosa:
PC-based vision assessment in a randomized double-masked, placebocontrolled
clinical trial (NCT00029289). BMC Ophthalmol 2006;6:23.
2. Beatty S, Boulton M, Henson D, Koh H, Murray I. Macular pigment and agerelated
macular degeneration. Br J Ophthalmol 1999;83:867-77.
3. Beatty S, Nolan J, Kavanagh H, O’Donovan. Macular pigment optical density
and its relationship with serum and dietary levels of lutein and zeaxanthin. Arch
Biochem Biophys 2004;430:70-6.
4. Berenschot T, Goldbohm R, Klopping W, et al. Influence of lutein
supplementation on macular pigment, assessed with two objective techniques.
Invest Ophthalmol Vis Sci 2000;41:3322-6.
5. Evans JA, Johnson EJ. Something new under the sun: lutein’s role in skin
health. Am J Lifestyle Med 2009;3:349.
6. Goldberg J, Flowerdew G, Smith E, Brody J, Tso M. Factors associated with
age-related macular degeneration. An analysis of data from the first National
Health and Nutritional Examination Survey. Am J Epidemiol 1988;128:700-10.
7. Hammond Jr B, Johnson E, Russell R, et al. Dietary modification of human
pigment density. Invest Ophthalmol Vis Sci 2000;41:3322-6.
8. Handelman GJ, Ninghtingale ZD, Lichtenstein AH, Schaefer EJ, Blumberg JB.
Lutein and zeaxanthin concentrations in plasma after dietary supplementation
with egg yolk. Am J Clin Nutr 1999;70:247-51.
9. Johnson E, Hammond Jr B, Yeum K, et al. Relation among serum and tissue
concentrations of lutein and zeaxanthin and macular pigment density. Am J Clin
Nutr 2000; 71:1555-62.
10. Klaver C, Wolfs R, Vingerling J, Hofman J, de Jong P. Age-specific prevalence
and causes of blindness and visual impairment in an older population: the
Rotterdam Study. Arch Ophthalmol 1998;116:653-8.
11. Koh H, Murray I, Nolan D, Carden D, Feather J, Beatty S. Plasma and macular
responses to lutein supplement in subjects with and without age-related
maculopathy: a pilot study. Exp Eye Res 2004;79:21-7.
12. Kopsell DA, Kopsell DE, Curran-Celentano J, Wenzel AJ. Genetic variability for
lutein concentrations in leafy vegetable crops can influence serum carotenoid
levels and macular pigment optical density in human subjects. ISHS Acta
Horticulture 841: II International Symposium on Human Health Effects of Fruits
and Vegetables: FAVHEALTH 2007.
13. Kvansakul J, Rodriguez-Carmona M, Edgar D, et al. Supplementation with the
carotenoid lutein or zeaxanthin improves human visual performance. Ophthalmic
Physiol Opt 2006;26:362-71.
14. Landrum J. Serum and macular pigment response to 2.4 mg dosage of lutein.
ARVO 2000;2000:41.
15. Landrum J, Bone R, Joa H, Kilburn M, Moore L, Sprague K. A one year study of
the macular pigment: the effect of 140 days of a lutein supplement. Exp Eye
Res 1997;65:57-62.
16. Mangels AR, Holden JM, Beecher GR, Forman MR, Lanza E. Carotenoid
content of fruits and vegetables: an evaluation of analytic data. J Am Diet Assoc
1993;93:284-96.
17. Massacessi A, Faletra R, Gerosa G, Staurenghi G, Orzalesi N. The effect of oral
supplementation of macular carotenoids (lutain and zeaxanthin) on the
prevention of age-related macular degeneration: an 18-month follow-up study.
ARVO 2001;42:S234.
18. Moeller S, Parekh N, Tinker L, et al. Associations between intermediate agerelated
macular degeneration and lutein and zeaxanthin in the Carotenoids in
Age-related Eye Disease Study (CAREDS): ancillary study of the Women’s
Health Initiative. Arch Ophthalmol 2006;124:1151-62.
19. Nolan J, Stack J, Lellerio J, et al. Monthly consistency of macular pigment
optical density and serum concentrations of lutein and zeaxanthin. Curr Eye Res
2006;31:199-213.
20. Richer S. ARMD-pilot (case series) environmental intervention data. J AM
OPTOM ASSOC 1999;70:24-36.
21. Richer S, Stiles W, Statkute L, et al. Double-masked, placebo-controlled,
randomized trial of lutein and antioxidant supplementation in the intervention of
atopic age-related macular degeneration: the Veterans LAST study (Lutein
Antioxidant Supplementation Trial). Optometry 2004;75:216-30.
22. Roberts RL, Green J, Lewis B. Lutein and zeaxanthin in eye and skin health.
Clin Dermatol 2009;27:195-201.
23. Seddon J, Anani A, Sperduto R, et al. Dietary carotenoids, vitamin A, C, E and
advanced age-related macular degeneration. Eye Disease Case Controlled
Study Group. JAMA 1994;272:1413-20.
24. Sommerburg O, Keunen J, Bird A, van Kuijk F. Fruits and vegetables that are
sources of lutain and zeaxanthin: the macular pigment in human eyes. Br J
Ophthalmol 1998;82:907-10.
25. Surai PF, MacpPherson A, Speake BK, Sparks NH. Designer egg evaluation in
a controlled trial. Eur J Clin Nutr 2005;54:298-305.

READ MORE - กินอะไร........ชะลอจอประสาทตาเสื่อม