บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ยาอันตรายที่ผู้หญิงควรรู้


เภสัชกร สุรศักด์ิ วิชัยโย
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
หลายคนอาจคุ้นเคยหรือเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับยาบางตัวในกลุ่มมิดาโซแลม (midazolam) ที่มี
การนำมาใช้ผสมเครื่องดื่มเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายที่อาจตกเป็นเป้าหมาย
ทัง้ นี้ เนื่องจากยาดังกล่าวมีฤทธิท์ ำให้หลับ อีกทัง้ หลังจากตื่นขึ้นมาจะจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะ
ได้รับยานั้นไม่ได้ แต่ปัจจุบัน เริ่มมีการลักลอบนำ เข้าสารอื่นๆ มาใช้ในการล่วงละเมิดทางเพศ
หลากหลายชนิดมากขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
1. สารที่หวังผลเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เช่น
 แมลงวันสเปน (Spanish fly) ถูกผลิตออกมาหลายรูปแบบ เช่น เป็นของเหลวใส เป็นผง
หรือผลึก ซึ่งนำมาใช้ในทางที่ผิดโดยการหยดหรือผสมลงไปในเครื่องดื่ม เนื่องจากสาร
แคนธาริดิน (cantharidin) จากแมลงวันสเปน มีฤทธิก์ ัดกร่อน จึงทำให้เกิดการระคายเคือง
บริเวณอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้มีเลือดไปคัง่ ที่หลอดเลือด รวมทั้งมีการ
อักเสบที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ อย่างไรก็ตาม ไม่มี
หลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลต่ออารมณ์ทางเพศของแมลงวันสเปน อีก
ทั้ง ด้วยฤทธ์ิกัดกร่อนของสารชนิดนี้ จึงสามารถทำให้เกิดแผลตามอวัยวะต่างๆใน
ร่างกาย เช่น เกิดแผลและเลือดออกได้ทุกบริเวณตลอดทางเดินอาหาร ตั้งแต่ปาก
จนถึงทวารหนัก ปัสสาวะเป็นเลือด หรืออาจมีเลือดออกที่อวัยวะเพศ นอกจากนี้ ยังมี
ผลทำลายไต เป็นต้น
 สารระเหยกลุ่มไนไตรท์ หรือมักเรียกกันว่า “ป๊อปเปอร์ (Poppers)” เป็นสารที่มีกลิ่นฉุน อยู่
ในรูปของเหลวบรรจุในภาชนะขนาดประมาณ 10 ซีซี เนื่องจากสารชนิดนี้มีฤทธิข์ ยายหลอด
เลือด หลังจากสูดดมจึงทำให้รู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนวูบวาบ โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้าและลำคอ
อีกทัง้ ยังทำให้มีอาการมึนงง เวียนศีรษะ ขาดความยัง้ คิด ซึ่งผลดังกล่าวเชื่อว่าช่วยกระตุ้น
อารมณ์ทางเพศได้ สำหรับผู้ที่สูดดมสารนี้ นอกจากอาจถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว ผลเสีย
อื่นๆที่อาจเกิด ได้แก่ หากเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือกำลังใช้ยาขยายหลอด
เลือดรวมทั้งไวอกร้า (Viagra) อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากจนเลือดไปเลี้ยง
อวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสมอง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต และเนื่องจากไน
ไตรท์สามารถเข้าไปในเม็ดเลือดแดง แล้วส่งผลให้เม็ดเลือดแดงจับกับออกซิเจนได้
น้อยลง จึงอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อีกทั้งมีโอกาสทำให้ผู้ที่มีภาวะพร่อง
เอ็นไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้ นอกจากนี้ ฤทธ์ิต่อ
ระบบประสาทของสารดังกล่าว ทำให้ขาดความยัง้ คิด ซึ่งส่งเสริมให้มีพฤติกรรมทาง
เพศที่เสี่ยงมากขึ้น เช่น ไม่ใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น จนนำมาสู่การติดโรคติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายได้
2. สารที่ทำให้มีอาการมึนเมา หรือสลบ เช่น
 สารจีเอชบี (GHB = gamma-hydroxybutyrate) มักอยู่ในรูปของเหลวใสหรือเป็นผง ไม่มีสี
ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ ซึ่งนำมาใช้ในทางที่ผิดโดยการหยดหรือผสมลงไปในเครื่องดื่ม สาร
ชนิดนี้มีฤทธิค์ ล้ายยานอนหลับและยาสลบ ทำให้ง่วงซึม มึนงง เคลิบเคลิ้ม และไม่สามารถจำ
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะได้รับยา ซึ่งนอกจากจะถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว ผู้ที่
รับประทานสารชนิดนี้ อาจได้รับผลเสียอื่นๆ เช่น หากใช้ในปริมาณมาก หรือผสมกับ
แอลกอฮอล์ อาจเพิ่มฤทธ์ิการกดสมอง จนทำให้กดการหายใจ กดการทำงานของ
หัวใจและหลอดเลือด ชักและหมดสติ ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต
 ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) เป็นยากลุ่มมิดาโซแลม ผลการกดสมองจึงคล้ายกัน ยานี้
มีข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์หลายอย่าง แต่มีการนำมาใช้ในทางที่ผิดโดยการผสมลงไปใน
เครื่องดื่มเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ หากใช้ในปริมาณมาก หรือผสมกับ
แอลกอฮอล์ อาจเพิ่มฤทธ์ิการกดสมอง เช่น กดการหายใจจนเสียชีวิตได้เช่นกัน
สารเหล่านี้มักมีการซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ท และยังมีผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นอีก เช่น หมาก
ฝรัง่ และบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าประกอบด้วยสารชนิดใด ดังนั้น เมื่อทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว
สาวๆ และหนุ่มๆทั้ งหลาย ควรระมัดระวังตัว และรู้วิธีการที่จะป้องกันตนเอง เช่น ไม่ดื่มเครื่องดื่มหรือ
รับประทานอาหารจากคนแปลกหน้า ไม่ทดลองสูดดมสารระเหยต่างๆจากการชักชวนของเพื่อนหรือคน
อื่นๆ โดยเฉพาะกรณีที่อยู่ในสถานที่ซึ่งไม่มีบุคคลที่ไว้ใจอยู่ด้วย เป็นต้น สำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาหรือ
คิดที่จะใช้สารเหล่านี้ในการล่วงละเมิดทางเพศหรือแม้แต่การใช้กับคู่รักของตนเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ควรหยุดความคิดและการกระทำนั้น เพราะไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่อาจส่งผลเสีย
รุนแรงจนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต
เอกสารอ้างอิง
1. Karras DJ, Farrell SE, Harrigan RA, Henretig FM, Gealt L. Poisoning from "Spanish fly"
(cantharidin). Am J Emerg Med. 1996;14(5):478-483.
2. Romanelli F, Smith KM, Thornton AC, Pomeroy C. Poppers: epidemiology and clinical
management of inhaled nitrite abuse. Pharmacotherapy. 2004;24(1):69-78.
3. วิษณุ เชื้อพันธุ์. ปญั หาการลักลอบนำเข้าสารระเหยและแนวทางแก้ปญั หา. วารสารอาหารและยา
ฉบับเดือนมกราคม-เมษายน 2557. Available from:
journal.fda.moph.go.th/journal/012557/03.pdf
4. Smith KM, Larive LL, Romanelli F. Club drugs: methylenedioxymethamphetamine,
flunitrazepam, ketamine hydrochloride, and gamma-hydroxybutyrate. Am J Health Syst
Pharm. 2002;59(11):1067-1076.
5. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. อย. เตือน ยาเสียสาว
นำมาใช้ในทางที่ผิด. Available
from: http://www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B8%A2%E0%B8
%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2
%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0
%B8%9A%E0%B8%B5.pdf
6. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. อย. ยกระดับยาเสีย
สาวอัลปราโซแลมเป็นวัตถุออกฤทธิใ์ นประเภท 2 คุมเข้ม! ป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด.
Available from:
http://www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B8%A2%E0%B8%81
%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A_Alprazolam.pdf
READ MORE - ยาอันตรายที่ผู้หญิงควรรู้

อันตรายจากสารเคมีใกล้ตัว




สุรินทร์ อยู่ยง
ผู้ปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชำนาญงานพิเศษ)ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

   คุณรู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้คนเราล้วนมีชีวิตเกี่ยวข้องกับสารเคมีชนิดต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในบ้านก็มีมากมายจนแทบจะไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดไหนดี และสิ่งที่ สำคัญคือ เราลืมไปว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสารเคมีอันตราย ที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและระมัดระวัง เพื่อ ความ ปลอดภัยผลิตภัณฑ์เหล่านี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง
2. น้ำยาทำความสะอาด
3. น้ำยาซักล้าง
4. สารกำจัดกลิ่น

แนวทางป้องกันเพื่อชีวิตที่ปลอดภัยควรทำดังนี้

1. ทุกครัง้ ที่ใช้ต้องแน่ใจว่าอ่านฉลากอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
2. ใช้ในปริมาณที่จำเป็น และไม่คิดเอาเองว่าการเพิ่มปริมาณการใช้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของสารเคมี และที่สำคัญ คือห้ามใช้รวมกันหลาย ๆ ประเภท ยกเว้นว่าระบุให้ใช้ร่วมกับ ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ ได้
3. ใช้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ในห้อง ควรเปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมระบายอากาศ
4. ล้างภาชนะที่ใช้ให้สะอาดทุกครัง้ และเก็บในที่มิดชิด ปลอดภัยและพ้นจากมือเด็ก
5. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนถ่ายบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เคยใช้บรรจุอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในการใช้งาน หรือนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง
6. หญิงมีครรภ์ควรงดใช้เพื่อป้องกันอันตรายต่อเด็กและทำความสะอาดร่างกายทุกครัง้ หลังการใช้ผลิตภัณฑ์
7. ลดการใช้หรือหาทางเลือกอื่น ๆ ทดแทน
8. เมื่อเกิดอุบัติเหตุเช่นมีกรดหรือด่างหกรดร่างกาย ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อเจือจางความเข้มข้น ถ้ารับประทานเข้าไปควรนำส่งโรงพยาบาลพร้อมกับผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

แม้ทุกวันนี้เราต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีมากขึ้น จงใช้อย่างรู้และรอบคอบ ทำตามฉลากระบุจนเป็นนิสัยเพื่อลดและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารเคมี มีทางเลือกอื่น ๆ ที่ใช้ได้ดังแสดงในตารางตารางแสดงทางเลือกที่ใช้ทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีในกิจกรรมประเภทต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

READ MORE - อันตรายจากสารเคมีใกล้ตัว

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สารกันราในขนมปัง


สุรินทร์ อยู่ยง
ผู้ปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชำนาญงานพิเศษ) ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

   ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ เพื่อแข่งกับเวลา ทั้งสภาพที่อยู่อาศัย และ ลักษณะนิสัยในการบริโภคอาหารก็เปลี่ยนไปจากอดีต ขนมปังจึงเป็นอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต มากขึ้น เพราะหาซื้อง่าย สะดวกและมีหลากหลายชนิดให้เลือกตามความต้องการ ขนมปัง นอกจากมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ผู้ผลิตบางรายยังใส่สารป้องกันเชื้อรา

   เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีอายุที่ยาวนานขึ้น สารที่นิยมใช้เป็นสารกันเชื้อราในผลิตภัณฑ์ขนมปัง เช่น กรดโปรปิโอเนต เกลือโปรปิโอเนต แคลเซียมโปรปิโอเนต ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารปรุงแต่งอาหารที่ปลอดภัยตาม ประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปี 2547 โดยเติมลงในอาหารได้ในปริมาณที่ เหมาะสม ซึ่งหมายถึงปริมาณที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดผลที่ต้องการภายใต้กระบวนการผลิตที่ดี (GMP)

   แม้ว่ากฏหมายจะไม่ได้ระบุปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ได้ เนื่องจากกรดโปรปิโอนิก และเกลือโปรปิโอเนตไม่ทำให้เกิดพิษที่เฉียบพลันหรือรุนแรงหากบริโภคในปริมาณน้อย แต่มีรายงานการวิจัยว่าการบริโภคอาหารที่มีสารแคลเซียมโปรปิโอเนตปริมาณสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมีผลยับยั้ง การเจริญเติบโตในสัตว์ทดลอง และอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมสมาธิสัน้ ในเด็ก ในประเทศไทยเคยมีระบุ

  ปริมาณที่อนุญาตให้ใช้ได้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 84 (พ.ศ.2527) และฉบับที่ 119 (พ.ศ.2532) อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 แคลเซียมโปรปิโอเนต เป็นสารกันเชื้อราในผลิตภัณฑ์ขนมปัง เป็นเกลือของกรดโปรปิโอเนต ซึ่ง เป็นกรดอ่อน มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ไม่มีกลิ่นและสี จึงไม่ส่งผลกระทบต่อกลิ่นและรสชาดของ

ผลิตภัณฑ์ ช่วยยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี

   โครงการสร้างเสริมสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการสำรวจปริมาณ แคลเซียมโปรปิโอเนตในขนมปัง โดยเก็บตัวอย่างขนมปงั จากแหล่งขายที่เป็นร้านค้าท้องถิ่นใน ปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานคร ทัง้ หมด 3 แหล่ง จำนวนรวมทัง้ สิ้น 23 ตัวอย่าง พบว่ามี 20 ตัวอย่าง (คิดเป็นร้อยละ 87) ที่ตรวจพบปริมาณแคลเซียมโปรปิโอเนตสูงเกินร้อยละ 0.2 และตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ นำมาตรวจสอบไม่มีเลขที่อนุญาต ไม่ระบุสถานที่ผลิต วันผลิต และวันหมดอายุ 

ดังนั้นเพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ขนมปงั สำหรับรับประทานที่เพิ่งทำเสร็จ ใหม่ๆ โดยเสามารถสัมผัสดูเนื้อของขนมปงั จะมีความนุ่ม และหอมกลิ่นของขนมปงั ที่พึ่งผ่านการอบมา ใหม่ๆ และที่สำคัญควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุข้อมูลที่สำคัญ เช่น เลขที่อนุญาต ผู้ผลิต สถานที่ผลิต วัน ผลิต และวันหมดอายุด้วย

เอกสารอ้างอิง
1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527)
2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร ฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2532)

READ MORE - สารกันราในขนมปัง

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน

แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เขาว่ากันว่า แคลเซียม ไม่มีประโยชน์กับโรคกระดูกพรุน แต่ก่อนจะสรุปเช่นนั้น ขอให้ติดตาม
อ่านรายละเอียดต่อไปนี้ก่อน
กระดูกประกอบด้วยอะไรบ้าง
กระดูกประกอบด้วย โปรตีนหนึ่งในสามส่วน อีกสองในสามส่วนเป็นเกลือแร่ โปรตีนที่เป็น
เนื้อกระดูกนี้ส่วนใหญ่เป็นคอลลาเจน ส่วนเกลือแร่ที่อยู่ในกระดูกคือแคลเซียม กระดูกก็เหมือนกับ
เนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกายที่ต้องมีการผลัดผิวเอาเซลล์เก่าออกแล้วเติมเซลล์ใหม่ ซึ่งการผลัดผิวเกิด
จากการทำงานร่วมกันของเซลล์สลายกระดูกและเซลล์สร้างกระดูก โดยเซลล์สลายกระดูกจะกินเนื้อ
กระดูกเป็นหลุมลงไป ต่อจากนั้นเซลล์สร้างกระดูกจะสร้างเนื้อกระดูกเติมลงไปในหลุมจนเต็มเป็น
การปะหลุมนั้น ทำให้ได้กระดูกที่มีผิวสวยงามตามเดิม ทัง้ นี้การทำงานของเซลล์สลายกระดูกและ
เซลล์สร้างกระดูกจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนและสารภายในร่างกายหลายชนิดที่เกี่ยวกับการอักเสบ
การเติบโตของกระดูกจะเกิดขึ้นตัง้ แต่วัยเยาว์จนได้ความหนาแน่นของมวลกระดูกสูงที่สุดที่
อายุ 20 ปีในผู้หญิง และ 25 ปีในผู้ชาย หลังจากนี้มวลกระดูกจะมีความหนาแน่นลดลงอย่างช้าๆ
พบว่าที่อายุ 40 ปีขึ้นไปมวลกระดูกจะมีความหนาแน่นลดลงร้อยละ 0.5-1 ต่อปี แต่สำหรับผู้หญิง
ในช่วง 10 ปีแรกหลังหมดระดู ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงเร็วมาก คือร้อยละ 3-5 ต่อปี
เมื่อพ้น 10 ปีไปแล้วความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงช้าลง คือลดลงร้อยละ 1-2 ต่อปี1
โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไร
โรคกระดูกพรุน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า osteoporosis (อ่านว่า ออส-ที-โอ-พอ-รอ-สิส) เป็นโรค
ที่มีความผิดปกติของกระดูกที่เกิดเนื่องจากมีความไม่สมดุลในกระบวนการผลัดผิวกระดูก โดยเซลล์
สลายกระดูกทำงานมากกว่าเซลล์สร้างกระดูก ทำให้มวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลง เนื้อกระดูก
บางลง มีความแข็งแรงน้อยลง และมีความเปราะเพิ่มขึ้น โรคนี้เป็นปญั หาทางสาธารณสุขที่สำคัญ
ในผู้สูงอายุ และเป็นภัยเงียบ เนื่องจากไม่มีอาการอะไร มีเพียงแต่เนื้อกระดูกบางลง มีความ
หนาแน่นน้อยลง ทัง้ นี้ กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ก็เมื่อเกิดกระดูกหัก ซึ่งมักเกิดตามหลัง
อุบัติเหตุ เช่น หกล้ม ตกบันได ตกจากเก้าอี้ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่มีการไออย่างรุนแรงก็อาจทำให้
กระดูกซี่โครงหักได้
ตำแหน่งของกระดูกที่มีการหักที่พบส่วนใหญ่จะเป็นที่กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก และ
กระดูกสันหลัง อธิบายได้ว่า เมื่อหกล้ม คนเราก็จะเอามือยันพื้นไว้เพื่อประคองตัวเอง แต่ด้วยความ
ที่เนื้อกระดูกบางลง กระดูกข้อมือจึงไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่เหมือนตอนหนุ่มสาว กระดูก
ข้อมือจึงหัก เมื่อกระดูกข้อมือหักก็ใช้มือข้างนั้นหยิบจับอะไรไม่ได้ในระหว่างที่ต้องเข้าเฝือก หากมี
ก้นกระแทกพื้นเช่นในกรณีตกบันไดหรือตกจากเก้าอี้ ก็จะมีกระดูกสะโพกหัก ทำให้เดินไม่ได้ใน
2
ระหว่างการรักษา บางรายอาจต้องเปลี่ยนข้อใส่ข้อเทียม ทำให้ต้องนอนติดเตียง ซึ่งอาจเกิดแผลกด
ทับหรือโรคอื่นๆ ตามมาได้หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ
ผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึงร้อยละ 30-40 ในขณะที่ผู้ชายมีโอกาส
ร้อยละ 13 โดย ผู้หญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดระดู กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิด
จากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยัง
เกิดจากความเสื่อมตามวัยซึ่งพบได้ทัง้ ในผู้ชายและผู้หญิง
โรคกระดูกพรุนยังอาจเกิดตามมาจากการเป็นโรคอื่น เช่น โรคไต โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคมะเร็ง ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง และภาวะกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s syndrome มี
ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในเลือดสูง) หรือเกิดจากการใช้ยา ได้แก่ ยากลูโคคอร์ติคอยด์ ยารักษา
มะเร็ง ยากดภูมิคุ้มกัน ยากันชัก
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้ว
ด้วยเหตุที่โรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะเกิดกระดูกหัก จึงควรทราบว่ามีปจั จัย
เสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ทัง้ นี้มีปจั จัยเสี่ยงอยู่ 2 ประเภท คือ ปจั จัยเสี่ยงที่
ปรับเปลี่ยนได้ และ ปจั จัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปจั จัยเสี่ยงหลายปจั จัยก็จะมี
โอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และจะมีโอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
ตารางที่ 1 ปจั จัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้หญิง1
ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้
 รับประทานแคลเซียมไม่เพียงพอ
 ไม่ค่อยได้ใช้แรงกาย
 สูบบุหรี่เป็นประจำ
 ดื่มสุราเกินขนาดเป็นประจำ
 ดื่มกาแฟเกินขนาดเป็นประจำ
 มีดัชนีมวลกายต่ำกว่า 19 กิโลกรัม/ตาราง
เมตร
 มีภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนก่อนเข้าสู่วัย
หมดระดู
 มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม เนื่องจากสาเหตุ
อื่นที่แก้ไขได้ เช่น ตาเป็นต้อ สายตาสัน้
สายตายาว ตาพร่ามัว
 มีอายุมาก (ตัง้ แต่ 65 ปีขึ้นไป)
 เป็นเพศหญิง
 เป็นผู้หญิงผิวขาว และผู้หญิงเอเชีย
 หมดระดูก่อนอายุ 45 ปี
 มีพยาธิสภาพที่ต้องมีการผ่าตัดเอารังไข่
ทัง้ สองข้างออกก่อนถึงวัยหมดระดู
 มีโครงร่างกายเล็ก
 มีประวัติคนในครอบครัว ได้แก่ บิดา
มารดา พี่สาวหรือน้องสาว เป็นโรค
กระดูกพรุนหรือกระดูกหักจากโรค
กระดูกพรุน
 เคยกระดูกหักจากภาวะกระดูก
เปราะบาง
3
นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถเข้าไปทำแบบทดสอบปจั จัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
ที่สร้างโดยมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย โดยเข้าไปที่ http://www.topf.or.th/topf_cpg.php
หากผลของการทำแบบทดสอบแสดงว่ามีปจั จัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ผู้ทำแบบทดสอบนั้นควรรีบ
ไปขอรับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้าน1
แพทย์จะวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ด้วยเครื่อง Dual energy X-ray Absorptiometry
(Axial DXA) และนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ BMD สูงสุดในคนหนุ่มสาว โดยการดูค่า
ความเบี่ยงเบนมาตรฐานตาม T-score (รูปที่ 1)
 ถ้าได้ T-score  -1 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลว่า มีความหนาแน่นของมวล
กระดูกในระดับปกติ
 ถ้าได้ T-score < -1 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แต่ > -2.5 ของค่าความเบี่ยงเบน
มาตรฐาน แปลว่า มีกระดูกบาง
 ถ้าได้ T-score  -2.5 ของค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แปลว่า กระดูกพรุน และมีความ
เสี่ยงต่อกระดูกหัก
รูปที่ 1 การแปลค่าความหนาแน่นของมวลกระดูกที่วัดได้
เอกสารอ้างอิง
1. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคกระดูกพรุน พ.ศ. 2553. กรุงเทพ: มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่ง
ประเทศไทย
2. กอบจิตต์ ลิมปพยอม. มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย. โรคกระดูกพรุนคืออะไร Available
at: http://www.topf.or.th/read_hotnews_detail.php?dID=20. Accessed date: 9 Aug 2014.
กระดูกพรุน กระดูกบาง กระดูกปกติ
-3.5 -3.0 -2.5 -2.0 -1.5 -1.0 -0.5 0 +0.5
ความเบี่ยงเบนมาตรฐานตาม T-score
READ MORE - แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ท้องเสียเฉียบพลัน จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่ ?


นศภ. ณัชชา อรัชพร
นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ท้องเสียเฉียบพลัน คืออะไร?
ท้องเสียเฉียบพลัน คือภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำอย่างน้อย3 ครัง้ ใน 24 ชัว่ โมง
(หรือถ่ายบ่อยกว่าปกติ) หรือถ่ายมีมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครัง้ หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากอย่าง
น้อย 1 ครัง้ ใน 24 ชัว่ โมงโดยจะมีอาการดังกล่าวไม่เกิน 14 วัน
ท้องเสียเฉียบพลันสามารถแบ่งตามอาการนำเด่นได้ดังนี้
1. กลุ่มที่มีอาการอาเจียนเป็นอาการเด่นได้แก่
- อาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารพิษที่เชื้อสร้างขึ้น ซึ่งเป็น
สารพิษที่ทนต่อความร้อนจึงพบได้แม้ในอาหารที่ปรุงสุกแล้ว มักมีอาการหลังรับประทาน
อาหาร 6-24 ชัว่ โมง ซึ่งเป็นอาหารที่ทิ้งไว้นานแล้วโดยจะเริ่มด้วยอาการอาเจียนรุนแรง
ตามด้วยท้องเสียแต่ไม่รุนแรง อาการดังกล่าวสามารถหายได้เองใน 1-2วัน กรณีนี้ไม่
จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เนื่องจากไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเชื้อ
- ท้องเสียจากเชื้อไวรัส มักพบในเด็กโดยจะมีอาการของหวัดนำมาก่อน ต่อมาจะอาเจียน
ตามด้วยท้องเสียไม่มีเลือดปน อาการดังกล่าวมักหายได้เองใน 3-4 วัน กรณีนี้ไม่
จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เนื่องจากมีสาเหตุมากจากเชื้อไวรัส ไม่ได้เกิดจากเชื้อ
แบคทีเรีย
2. กลุ่มที่มีอาการท้องเสียเป็นอาการเด่น ได้แก่
- กลุ่มที่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเป็นน้ำปริมาณมาก อาจเป็นสีขาวขุ่น
คล้ายน้ำซาวข้าว มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่สร้างสารพิษได้ กรณีนี้ต้องได้รับการ
รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- กลุ่มที่ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด ให้สังเกตอาการของบิด กรณีมีอาการของบิด (รู้สึกปวดเบ่งที่
ทวารหนัก แต่ถ่ายไม่สุด)
- บิดไม่มีตัว จะมีไข้ร่วมด้วย ควรรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น norfloxacin
- บิดมีตัว จะไม่มีไข้ร่วมด้วย ควรได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องก่อนการรักษาด้วยยา
ปฏิชีวนะ
กรณีไม่มีอาการของบิด โดยทัว่ ไปไม่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยกเว้นผู้ป่วย
บางกลุ่มเช่น สูงอายุ, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
3. อื่นๆ เช่น ท้องเสียในนักเดินทาง
“ท้องเสีย”เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อหรือสารพิษ โดยกำจัดออกทางอุจจาระและการ
อาเจียน ดังนั้นการรักษาทีดี่ทีสุ่ดคือให้ร่างกายขับเชื้อหรือสารพิษออกมาจนหมด ยกเว้นกรณีที่
จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และไม่ควรใช้ยาหยุดถ่าย เนื่องจากจะทำให้เชื้อหรือสารพิษเหลือค้างอยู่ใน
ร่างกายเป็นเวลานานซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงได้แต่ควรรักษาตามอาการ เช่น ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่
สูญเสียไป
อันตรายที่เกิดจากท้องเสียเฉียบพลัน
หากมีอาการท้องเสียเฉียบพลัน จะทำให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับการอาเจียนและ
อุจจาระ หากมีการสูญเสียปริมาณมากจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำขึ้น ซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะ
ในเด็ก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องประเมินภาวะขาดน้ำ อาการที่บ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำ เช่น ปากคอแห้ง
กระหายน้ำ ผิวหนังแห้ง (หากดึงหนังขึ้นจะไม่คืนตัวทันที) หรืออาจทดสอบโดยการกดเล็บ ซึ่งโดยปกติ
แล้วเล็บจะกลับมาเป็นสีชมพูอีกครัง้ ภายในเวลา 2 วินาทีแต่หากมีภาวะขาดน้ำจะใช้เวลามากกว่า 2
วินาที เป็นต้น สำหรับเด็กเล็กอาจมีอาการ เช่น ร้องไห้ไม่มีน้ำตา กระหม่อมบุ๋ม
การรักษาภาวะขาดน้ำ ทำได้โดยการทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป โดยทัว่ ไปจะให้ Oral
rehydration salts (ORS) ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ โซเดียมและกลูโคส รับประทานร่วมกับน้ำ ค่อยๆ
จิบจนหมด โดยจะรับประทานมากน้อยเท่าไหร่ขึ้นกับความรุนแรงของภาวะขาดน้ำ
เอกสารอ้างอิง
1. สำนักโรคติดต่อทัว่ ไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย โรค
อุจจาระร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่. 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศ
ไทย จำกัด; 2546.
2. Guerrant RL, Gilder TV, Steiner TS, Thielman NM, Slutsker L, Tauxe RV. et al. Practice
guidelines for the management of infectious diarrhea. CID 2001; 32: 331-51.
3. World Health Organization. The treatment of diarrhoea: a manual for physicians and
other senior health workers. Geneva; 2005.
4. Hatchette TF, Farina D. Infectious diarrhea: when to test and when to treat. CMAJ
2011; 183(3): 339-44.
READ MORE - ท้องเสียเฉียบพลัน จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่ ?

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ภาชนะเก็บยา..ที่เหมาะสมต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน


ภก. บรมพจน์ พฤฒิวณาสันฑ์ ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

คุณเภสัชกรครับ ยานี้เก็บอย่างไรดี? ยานี้ต้องกันแสงแดดไหม? ต้องใส่ซองกันความชื้นหรือไม่? คำถามการเก็บยาพวกนี้เป็นคำถามยอดนิยมมาก ตั้งแต่อดีตจนปจั จุบัน เพราะอะไรหรือ? หากตอบด้วย ความรู้สึกที่เป็นผู้ใช้ยา คือเราอยากให้ยาที่เรารับประทาน ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพการรักษา ไม่เสื่อม หรือหมดอายุก่อนจบการรักษา แน่นอนว่าการรับยาในแต่ละครั้งเรามักจะได้รับการจ่ายยามาเพื่อทาน อย่างน้อยเป็นเวลา 3-5 วัน บางท่านอาจจะได้รับยานานเป็นเดือนๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน ที่จำเป็นต้องมีการทานยาตลอดชีวิต ดังนั้นความรู้ และความเข้าใจในการจัดเก็บยาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกสิ่งในโลกนี้มีการเสื่อมสลายตลอดเวลา จะแตกต่างกันที่อัตราเร็วในการเสื่อมสลาย การ จัดเก็บยาที่ไม่ถูกต้องสามารถทำให้เกิดการเสื่อมสลาย (degradation) ของตัวยาสำคัญ (active pharmaceutical ingredients) ไวขึ้น เนื่องจากปจั จัยทางด้านสภาวะแวดล้อม ได้แก่ ความชื้น อุณหภูมิ สารเคมี แสงแดดฯลฯ 

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่มีผลในการเกิดการเสื่อมสลายของตัวยาสำคัญได้ทัง้ สิ้น การ เสื่อมสลายของตัวยาสำคัญส่งผลให้ปริมาณตัวยาสำคัญต่อยาหนึ่งเม็ดลดลง ซึ่งเมื่อเราทานยาเข้าไปจะ ทำให้ระดับยาในเลือดไม่ถึงระดับที่มีผลต่อการรักษาโรค โรคก็จะไม่หาย


การเสื่อมสลายจะเกิดขึ้นได้ทั้งจากตัวยาสำคัญหรือสารช่วยในตำรับ (excipients) ซึ่งอาจส่งผล ก่อให้เกิดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาแอสไพริน (aspirin) เป็นยาที่มีการใช้ มากในผู้ป่วยโรคหัวใจเพื่อต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด การเก็บรักษายาแอสไพรินจำเป็นต้องระวัง ความชื้นเนื่องจากความชื้นทำให้ยาดังกล่าวสลายตัวเป็นกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) และกรดอะซิติก (acetic acid) การรับประทานกรดซาลิไซลิกนั้นไม่มีผลต่อการต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด

   (ผลการรักษา) ซ้ำยังมีอันตรายต่อร่างกายเมื่อได้รับเข้าไปในปริมาณที่สูงๆ เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ของยาแอสไพริน คือ เราสามารถสังเกตการสลายตัวของยาแอสไพรินได้ด้วยการดม!! หากดมเม็ดยา แล้วพบว่ามีกลิ่นเปรี้ยวเหมือนน้ำส้มสายชูซึ่งกลิ่นที่ว่าก็คือกลิ่นของกรดอะซิติกนั่นอง หากยาแอสไพริน มีการสลายตัวเยอะ เราก็จะได้กลิ่นของน้ำส้มสายชูที่ฉุนมาก การเสื่อมของยาที่สามารถสังเกตได้อีก ตัวอย่างคือยาเม็ดวิตามินซีที่เมื่อเกิดการเสื่อมสลายจะเกิดเป็นจุดด่างสีน้ำตาลขึ้นบนเม็ดยา แต่จะเกิด
อะไรขึ้นหากเป็นยาอื่นที่ ราไม่สามารถสังเกตการสลายตัวด้วยประสาทสัมผัสของเราเองละครับ?” การแบ่งยาออกจากกระปุกยาขวดใหญ่หรือการแกะยาออกจากแผงยาเพื่อนำไปใส่ในกล่องยา หรือตลับยาเล็กๆ เป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้ยาในการเก็บรักษา และพกพาไปนอกบ้านระหว่างวัน 

รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารยาแก่ผู้ป่วยในกรณีที่ตลับยามี การระบุวันหรือมื้ออาหารที่ต้องรับประทานยาไว้เพื่อกันลืม อย่างไรก็ตามเภสัชกร ผู้ป่วย ผู้จัดยา หรือ ผู้ใช้ยา ควรมีความรู้ในการจัดเก็บหรือแบ่งบรรจุยาโดยเลือกภาชนะที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเสื่อม สลายของตัวยาสำคัญได้


คำแนะนำในการจัดเก็บหรือแบ่งบรรจุยา

1. ไม่ควรแกะยาที่บรรจุในแผงหรือแบ่งออกจากภาชนะ เช่น กระปุกยาหรือขวดยาที่ทางผู้ผลิต ได้บรรจุมาไว้แต่แรกเพราะประเภทบรรจุภัณฑ์เริ่มแรกนั้นจะได้ตามมาตรฐานที่ตำรายาระบุ ไว้ (จะกล่าวถึงชนิดของภาชนะบรรจุยาที่ระบุในตำรายา(ตำราที่ว่าด้วยยาที่เป็นพื้นฐานที่ สำคัญและใช้อ้างอิงทางเภสัชศาสตร์) ต่อไป)

2. หากมีความจำเป็นที่ต้องแกะยาออกจากแผงหรือแบ่งออกจากกระปุกใหญ่

2.1 ในกรณีที่เป็นแผงยา อาจจะทำการตัดแบ่งแผงยาออกเป็นขนาดย่อยๆ และบรรจุลงใน กล่อง ซองหรือตลับยาที่จัดเตรียมไว้ โดยขอบแผงยาที่ตัดแล้วจะต้องไม่มีส่วนใดฉีกขาด หรือมีรูรั่ว ทะลุถึงส่วนในที่บรรจุยาเม็ดในแผง

2.2 ในกรณีแบ่งยาออกจากกระปุกใหญ่หรือแกะยาออกจากแผงลงในภาชนะบรรจุใหม่ให้ เลือกพิจารณาภาชนะที่ปิดแน่น (Tight)ในการจัดเก็บเป็นลำดับแรก และควรมีคุณสมบัติ ที่กันแสงได้ หากไม่มีและจำเป็นต้องแบ่งยาลงในภาชนะบรรจุประเภทปิดสนิท เช่น ซอง ยา กล่องยาหรือตลับยา จะต้องปิดภาชนะให้สนิทเสมอและไม่ควรแบ่งยาเพื่อ รับประทานเกิน 1 อาทิตย์(ระยะเวลาอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ตามความคงตัวของตัว ยา)

3. ต้องสังเกตลักษณะกายภาพของยาที่รับประทาน หากพบว่าเม็ดยามีลักษณะที่ผิดปกติหรือ เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยทาน ควรงดทานยาดังกล่าวและปรึกษาเภสัชกร

READ MORE - ภาชนะเก็บยา..ที่เหมาะสมต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน

ยาเขียว ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก…

 รองศาสตราจารย์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

   ยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ มักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็วตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็น ยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียว ส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดมีพิษและความร้อนสูงมากจนต้องระบายทางผิวหนัง เป็นผลให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม เช่นที่พบในไข้ออกผื่น หัด อีสุกอีใส เป็นต้น

   ตำรับยาเขียวที่พบในคัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์มีบันทึกไว้ 3 ตำรับ ได้แก่ ยาเขียวมหาพรหม ยาเขียวน้อย ยาเขียวประทานพิษ และ ตำรับยาเขียวหอม ที่ได้รับการบรรจุในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2556 พบว่าใบไม้ที่ใช้ในยาเขียว มีมากมาย หลายชนิด ได้แก่ ใบพิมเสน ใบผักกระโฉม ใบหมากผู้ ใบหมากเมีย ใบพรมมิ ใบสันพร้าหอม ใบ บอระเพ็ด ใบชิงช้าชาลี ใบมะระ ใบสะเดา ใบน้ำเต้า ใบหนาด ใบกะเม็ง ใบแคแดง ใบทองหลางใบมน ใบมะเฟือง ใบนมพิจิตร ใบแทงทวย ใบพริกไทย ใบน้ำเต้าขม ใบปีบ ใบย่านาง ใบเท้ายายม่อม ใบหญ้าน้ำดับไฟ ใบระงับ ใบตำลึงตัวผู้ ใบฟัก ข้าว ใบถั่ว แระ ใบระงับพิษ ใบเสนียด ใบอังกาบ ใบสะค้าน ใบดีปลี ใบมะตูม ใบสมี ใบลำพัน  ใบกระวาน ใบผักเสี้ยนทั้งใบเถาวัลย์เปรียง ใบผักกาด ใบคนทีสอ ใบมะนาว ใบมะคำไก่ ใบมะยม ใบมะเฟือง ใบสลอด ใบขี้หนอน ใบสมี ใบขี้เหล็ก  ใบพุมเรียงทั้ง พิษในที่นี้ มีความหมายแตกต่างจากความเข้าใจในปัจจุบัน คือ ไม่ใช่สารพิษ แต่น่าจะหมายถึง ของเสียที่เกิดขึ้นในเลือด มากกว่าปกติ และร่างกายกำจัดออกไม่หมด อาจจะตรงกับ toxin หรือ oxidative stress ที่เกิดขึ้นในภาวะโรค หรือจากการติดเชื้อบางชนิด(ผู้เขียน)


   ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖ ประกอบด้วย ใบพิมเสน ใบผักกระโฉม ใบหมากผู้ ใบหมากเมีย ซึ่งมีรสเย็น แก้ไข้ ตัวยาเย็นอื่นๆ ที่มิใช่ส่วนของใบได้แก่ รากแฝกหอม มหาสดำ ดอกพิกุล สารภี เกสรบัวหลวง ว่านกีบแรด เนระพูสี ตัวยาแก้ไข้ที่มีรสขมได้แก่ จันทน์แดง พิษนาศน์ เนื่องจากยาไทยเป็นยารักษาโดยองค์รวม ดังนั้นจึงพบตัวยาสรรพคุณอื่นๆได้แก่ ตัวยารสสุขุม เพื่อควบคุมร่างกายมิให้เย็นจนเกินไป ได้แก่ ใบสันพร้าหอม บุนนาค พร้อมกับตัวยาช่วยปรับการทำงานของธาตุลมได้แก่ จันทน์เทศ เปราะหอม ว่านร่อนทอง อย่างไรก็ดี ในสูตรตำรับ


   ยาเขียวหอมที่บรรจุในประกาศบัญชียาสามัญประจำบ้านฉบับล่าสุด ได้ตัดไคร้เครือออกจากตำรับเนื่องจากมีข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ว่าไคร้เครือที่ใช้ และจำหน่ายในท้องตลาด เป็นพืชในสกุล Aristolochia ซึ่งพืชในสกุลนี้มีรายงานพบสาร aristolochic acid ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต (nephrotoxicity) และองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้พืชสกุล Aristolochia เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ตัง้ แต่ปี ค.ศ. 2002 การใช้ยาเขียวหอม บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ ควรใช้น้ำกระสายยา เพื่อช่วยละลายตัวยา ทำให้ยาออกฤทธิเร็วขึ้น เช่น น้ำสุกหรือน้ำดอกมะลิเป็นน้ำกระสาย เพื่อให้ยาออกฤทธิแรงขึ้น

    ด้วยเหตุว่าน้ำดอกมะลิ มีรสหอมเย็น ช่วยเสริมฤทธิข์ องยาตำรับยาเขียวยังใช้เป็นยาแก้ไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส ทั้ง วิธี กินและทา โดยละลายยา ด้วยน้ำรากผักชีต้ม ในปี 2548 มีการศึกษาฤทธิข์ องยาเขียวที่มีในท้องตลาด 3 ชนิด ในการยับยัง้ เชื้อไวรัส varicella zoster ที่เป็นสาเหตุของโรคอีสุก อีใส และงูสวัด ซึ่งผลปรากฏว่า ยาเขียวทั้ง 3 ชนิดไม่แสดงฤทธิดังกล่าว1 อันที่จริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย


   ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการยับยั้งชื้อไวรัส แต่ต้องการกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด ผู้ป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นภายใน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทัง้ วิธีกินและชโลม โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษ
ภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับหลักการแพทย์แผนปจัจุบัน น่าจะเป็นไปได้ที่ยาเขียวอาจออกฤทธิโดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือต้านออกซิเดชัน แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุน อีกทั้งยังไม่มีการเก็บข้อมูลการใช้ยาเขียวในผู้ป่วยไข้ออกผื่น หรืออาการไข้ธรรมดา แต่การที่มีการใช้ตั้งแต่โบราณ น่าจะเป็นคำตอบได้ระดับหนึ่งว่า การใช้ยาเขียวน่าจะบรรเทาอาการไข้ออกผื่นได้ไม่มากก็น้อย แม้จะมีความรู้ที่ว่าไข้ออกผื่นที่เกิดจากไวรัสสามารถหายได้เอง ความทรมาณที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่เป็นซึ่งอาจบรรเทาได้ด้วยยาเขียวก็เป็นที่น่าสนใจศึกษาพิสูจน์ฤทธิ์ต่อไป อนึ่ง ยาเขียวหอมเป็นตำรับที่บรรจุอยู่ในบัญชียา


    สามัญประจำบ้าน และบัญชียาสมุนไพรที่เป็นบัญชียาหลักแห่งชาติ น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า ยาเขียวเป็นยาที่มีการใช้กันมาอย่างยาวนาน เป็นที่ยอมรับ แม้ยังมีการวิจัยไม่มาก การใช้สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ซึ่งอาจจะยาวนานกว่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็น่าจะไว้วางใจในความปลอดภัยได้ระดับหนึ่งและหากเรานำมาใช้อย่างผสมผสานกับการแพทย์แผน  ปจัจุบันโดยพิจารณาจากคนไข้ จะทำให้เกิดผลดี ต่อสุขภาพ มากกว่าการหวังพึ่งการแพทย์เพียงแผนใดแผนหนึ่งเพียงอย่างเดียว เนื่องจากตำรับมีองค์ประกอบเป็นดอกไม้ 4 ชนิด ได้แก่ พิกุล บุนนาค สารภี เกสรบัวหลวง ซึ่งมีละอองเรณูผสมอยู่ ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีประวัติการแพ้ละอองเกสรดอกไม้นอกจากนี้ยังไม่เคยมีรายงานความปลอดภัยในกลุ่มคนไข้เลือดออก อีกทั้ง สมุนไพรส่วนหนึ่งมัก

    มีรายงานการยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด หรือละลายลิ่มเลือด เช่น พรมมิ2 เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการสรุปได้ว่า ยาเขียวเป็นยาที่ใช้กันมานาน และเป็นมรดกทางการแพทย์แผนไทยที่ควรสืบทอด พร้อมกับศึกษาทางคลินิก หรือการรวบรวมข้อมูลการใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อไป

1 ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธ์ิการต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
2 Sweta Prasad, Rajpal S Kashyap, Jayant Y Deopujari, Hemant J Purohit, Girdhar M Taori and Hatim F Daginawala. Effect of Fagonia Arabica (Dhamasa) on in vitro thrombolysis. BMC Complementary and Alternative Medicine 2007,7:36 doi:10.1186/1472-6882-7-36.
3 บัญชียาจากสมุนไพร ใน ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๔

READ MORE - ยาเขียว ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก…