รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ. พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยนิยามแล้วหมายถึงผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิว ปกปิดผิว เสริมแต่งผิวหนังให้มีสีสัน มีความปลอดภัย จะเริ่มใช้และเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ปจัจุบันจะพบว่ามีผู้บริโภคบางส่วนได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์บริการความงามที่เปิดกันมากมายทั่ว เมือง มีทัง้ นวดหน้า ขัดผิว ฟอกหน้าให้ขาวทันใจภายใน 3-7 วัน ส่วนใหญ่มักจะมีอุปกรณ์ไฮเทคทางการแพทย์ร่วมอยู่ด้วย เพื่อให้เกิดความทันสมัย ความแปลกใหม่ที่จะดึงดูดลูกค้าได้ หลายแห่งขาดผู้มีความรู้ที่แท้จริง ก่อให้เกิดปญั หาความเสียโฉมตามมา
เครื่องมือไฮเทคกับการฟอกหน้าขาว
• เซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทุกๆ 28 วันโดยที่เราไม่ต้องไป เร่งรัดหรือทำอะไรเลย เซลล์ผิวเก่าจะหลุดลอกและเซลล์ใหม่จะขึ้นมาแทนที่ แน่นอน เซลล์ผิวใหม่จะเปล่งปลัง่ กว่าเซลล์เก่าที่เสื่อมโทรม ทำให้ภาพรวมผิวหนังแลดูอิ่มเอิบ และขาวนวล เมื่อเซลล์ผิวมีอายุมากขึ้นบวกกับการได้กระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น ละออง รังสีดวงอาทิตย์ และสารเคมี ผิวหนังจะมีปฏิกิริยาปกป้องตัวเองโดยเอนไซม์ใต้ ผิวหนังชื่อ “ไทโรซิเนส” จะกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีทำให้ผิวหนังมีสีเข็มขึ้น ผลิตภัณฑ์ช่วยให้หน้าขาวหรือครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป มี
องค์ประกอบหลักคือสารยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว เพื่อมิให้มีการสร้างเม็ดสี แต่ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ถูกออกแบบมา ให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงจะให้ผลในระยะยาว เพราะเป็นการบำรุงผิว ไม่ใช่เห็นผลได้ใน 3 วัน 7 วัน เนื่องจากไม่ใช่ยารักษาโรค
• การทำงานของสารกลุ่มช่วยให้หน้าขาว หน้าใส จะมีฤทธิ์ป็นกรดอ่อนๆ และมักจะมี องค์ประกอบของสารช่วยเร่งรัดการลอกเซลล์ผิวร่วมอยู่ด้วย มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน เช่นกัน ตัวอย่างเช่น กรดแลคติค กรดซาลิไซลิค เวลาพอกหน้าในปริมาณมากๆ ทำให้ ผิวหน้าคันและแสบได้ ควรทาบางๆ เว้นรอบดวงตา ศูนย์บริการความงามทัง้ หลายที่มี อุปกรณ์ไฮเทคที่เรียกว่า “ไอออนโฟเรซิส” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้กระแสไฟอ่อนๆ กับผิวหนัง ทำให้กรดและเคมีที่พอกอยู่เข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วในปริมาณที่อาจจะมาก เกินไปสำหรับคนที่มีปญั หาผิวหนังเป็นทุนเดิม สิ่งที่ตามมาคืออาการอักเสบของเซลล์ ผิวคล้ายโดนน้ำกรดสาด นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ไฮเทคอีกชนิดร่วมด้วยคือ “โฟ โนโฟเรซิส” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้นวดผิวหนังโดยใช้คลื่นความถี่สูงกระตุ้นผิวหนัง แรงสั่น สะเทือนทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยาย รูขุมขนขยาย เพื่อวัตถุประสงค์เสริมให้
สารเคมีที่ต้องการเข้าสู่เซลล์ผิวได้เร็วยิ่งขึ้น
• เครื่องมือไฮเทคทางการแพทย์ที่กล่าวมานั้นออกแบบมาเพื่อให้แพทย์เป็นผู้พิจารณา ความเหมาะสมในการใช้งานเพื่อนำส่งตัวยาสำคัญเข้าสู่ผิวหนังสำหรับรักษาโรค การ นำมาประยุกต์ใช้ในด้านความงาม ควรจะมีผู้รู้เฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัย ต่อผู้บริโภค และการดูแลผิวก็ไม่ใช่เรื่องราวของระยะเวลาเพียง 3 วัน 7 วันตามที่เห็น ในโฆษณา ต้องสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป เพราะผิวหน้าไม่ใช่กระดาษ จะใช้น้ำยา ลบคำผิดมาป้ายออกทันทีไม่ได้ สารเคมีที่รุนแรงและมากเกินไปอาจทำให้เสียโฉมได้
• ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้พอกหน้าพอกตัว ก็มีอันตรายได้หากได้มาอย่างไม่ถูกต้องตาม หลักวิชาการ เพราะสมุนไพรสดนั้นเป็นอาหารเชื้อจุลินทรีย์อย่างดีทำให้เชื้อเจริญเติบโต ได้รวดเร็ว เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผิวหนังมีแผลเปิด และหาก ผลิตภัณฑ์มีการใส่สารกันเสียมากเกินไป ผลเสียคือทำให้ผิวหน้าแพ้ คันและอักเสบได้ ผู้เขียนเองได้เคยไปทดลองใช้บริการพอกตัว (โชคดีที่ไม่กล้าเสี่ยงพอกหน้าด้วย) ที่ ศูนย์บริการความงามด้วยสมุนไพรยี่ห้อดังเพื่อเก็บข้อมูลทางวิชาการ ผลคือมีอาการแพ้ คันไม่ทราบสาเหตุ เป็นตุ่มแดงทัว่ ตัวจนถึงรอบคอ (ผิวหนังทัว่ ตัวที่สัมผัสผลิตภัณฑ์ สมุนไพร) ต้องใส่เสื้อแขนยาวปิดคอไปทำงานอยู่เป็นอาทิตย์ คาดว่าน่าจะเกิดจาก องค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น อาจมีองค์ประกอบของสารกันเสียมากเกินไป หรือมีการผสมผสานเคมีอื่นลงไปในสมุนไพรของผู้ให้บริการฯอย่างไม่มีความรู้
เครื่องสำอางอันตรายกับหน้าขาว
เมื่อกล่าวถึงการฟอกหน้าขาว ก็ไม่ลืมที่จะเตือนผู้บริโภคถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มี องค์ประกอบของสารต้องห้าม เช่น ปรอท ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) และสารสเตียรอยด์ สารต้องห้ามเหล่านี้ยังพบในผลิตภัณฑ์หน้าขาวที่แอบวางจำหน่ายทัว่ ไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตาม ชานเมือง สังเกตุได้ง่ายเมื่อทาครีมเหล่านี้ลงบนใบหน้าเพียง 1-2 สัปดาห์ ผิวหน้าจะผ่อง สิวฝ้า จะจางลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ หน้าจะเริ่มไหม้ดำและค่อยๆแผ่วงกว้างขึ้น ควรรีบหยุดใช้และไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง สารต้องห้ามและเป็นอันตรายทำให้หน้าเสียโฉม ที่ตรวจพบในเครื่องสำอางต้องห้าม ผิด
กฏหมาย ที่ อย.สุ่มตรวจพบ
1. สารไฮโดรควิโนน มีคุณสมบัติในการฟอกสีผิว (Skin bleaching agent) เป็นสารที่เคยอนุญาต ให้ใช้ในครีมแก้ฝ้า แต่ภายหลังพบว่า สารไฮโดรควิโนน ทำให้ เกิดการระคายเคือง และจุดด่างขาวที่หน้าผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย (ochronosis หรือ defiguring effect) นอกจากนี้พบว่า สารไฮโดรควิโนน มีความ เป็นพิษ โดย พบว่ามีฤทธิก์ ่อกลายพันธุ์ และก่อมะเร็งในหนู สารไฮโดรควิโนน ถูก กำหนดเป็นสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2539 ตาม พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535
2. กรดเรทิโนอิก (retinoic acid) เป็นสารที่ช่วยให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง และหลุดลอก ได้ (peecling agent) จึงช่วยให้สิวเสี้ยนและผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดลอกออกง่าย ขึ้นทำให้ผิว ผ่องใสและนุ่มเนียน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ สารไฮโดรควิโนน จะช่วยให้ สาร ไฮโดรควิโนน ซึมเข้าสู่ผิวหนังและออกฤทธิได้มากกว่าปกติ ความเป็นพิษ คือ ทำให้ หน้าแดง และแสบร้อนรุนแรง เกิดการระคายเคือง อักเสบ แพ้แสงแดดหรือแสงไฟได้ง่าย เป็นอันตรายต่อทารก ในครรภ์ กรด เรทิโนอิก ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ใน เครื่องสำอาง ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2532 และเป็นสารห้ามใช้ลำดับที่ 375 ตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิต เครื่องสำอาง ตามที่ปรากฏใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551
3. ปรอทแอมโมเนีย ออกฤทธิร์ บกวนการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ทำให้ ลดการสร้างเม็ดสีผิว
เมลานิน จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น ปรอทแอมโมเนีย มี ฤทธิฆ์ ่า เชื้อแบคทีเรีย ชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิวได้ด้วย ปรอทแอมโมเนียสามารถทำลายไต ระบบ ประสาท เยื่อบุและทางเดินหายใจ การใช้ปรอทแอมโมเนียติดต่อกัน เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแส โลหิต ทำให้ ตับและไตอักเสบ เกิดโรคโลหิตจาง ทางเดินปสั สาวะอักเสบ ทำลายสี ของผิวหนัง และเล็บมือ ทำให้ผิวบางขึ้นเรื่อยๆ เกิดการแพ้หรือเป็นแผลเป็นได้ มี ความเป็นพิษเฉียบพลัน ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2532 และเป็นสารห้ามใช้ ตาม ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสม ใน การผลิต เครื่องสำอาง ลำดับที่ 221 ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอน พิเศษ 80 ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 โดยกำหนดชื่อสารห้ามใช้ คือ “ปรอท และ สารประกอบของปรอท” จากผลการตรวจวิเคราะห์ของกองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย ในปีงบประมาณ 2547 ถึง มิถุนายน 2551 พบว่า สารห้ามใช้ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ
1. ปรอทแอมโมเนีย โดยตรวจพบ ร้อยละของตัวอย่างที่ตรวจวิเคราะห์ทัง้ หมด ดังนี้ ร้อยละ 14 (71 จาก 501 ตัวอย่าง), ร้อยละ 19.6 (62 จาก 317 ตัวอย่าง) ร้อยละ 10.6 (43 จาก 405 ตัวอย่าง), ร้อยละ 16.9 (90 จาก 531 ตัวอย่าง) และ ร้อยละ 8.5 (42 จาก 493 ตัวอย่าง) ตามลำดับ
2. รองลงมาคือ ตรวจพบสารไฮโดรควิโนน รวมกับกรดเรทิโนอิก และพบตัวอย่างที่มี
สารไฮโดรควิโนน หรือ กรดเรทิโนอิกอย่างเดียว รองลงมาตามลำดับ
เอกสารอ้างอิง
1. รศ.ดร.ภญ.พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
(จากวารสารฉลาดซื้อ คอลัมน์สวยอย่างฉลาด มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย)
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_cosmetic/news/cos_0951/cos_1002.htm
2. ศูนย์ข้อมูลเครื่องสำอาง กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_cosmetic/news/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น