บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

“ใบทุเรียนเทศรักษามะเร็งได้ (จริงหรือ?)” … ที่นี่มีคำตอบ ตอนที่ 3

1. รูปแบบชาชง หรือ ยาต้มใบทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้จริงหรือ?
สรุป ผลการวิจัย รูปแบบชาชงหรือน้ำต้มใบทุเรียนเทศ รักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือ?
รูปแบบชาชง หรือ น้ำต้มใบทุเรียนเทศ จะใช้รักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือ? ขอตอบว่าข้อมูลวิจัยที่
มีอยู่ในปจั จุบันยังมีน้อยมาก และส่วนใหญ่พบว่าไม่มีฤทธิใ์ นการยับยัง้ การเจริญเติบโตของ
เซลล์มะเร็ง (เป็นการศึกษาในหลอดทดลอง) ถึงแม้ว่ามีบางงานวิจัยที่พบว่าน้ำต้มหรือชาชงใบ
ทุเรียนเทศมีฤทธิด์ ังกล่าว แต่ต้องใช้ขนาดยาที่สูง ทัง้ นี้เพราะว่าสารสำคัญในพืชวงศ์นี้เป็นสาร
กลุ่ม annonaceaous acetogenins ซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ (อุณหภูมิห้อง) แต่ละลายได้
บ้างในน้ำต้ม และการบริโภคน้ำต้มในปริมาณที่มากจะเป็นพิษต่อไตและมดลูก ฉะนั้นหญิง
ตัง้ ครรภ์ห้ามรับประทาน8 นอกจากนี้น้ำต้มใบทุเรียนเทศยังประกอบด้วยสารต่างๆ ที่มีขัว้ ซึ่ง
อาจจะมีผลต่อร่างกาย เช่น สารกลุ่ม cardiac glycosides จะมีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ7

การวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของทุเรียนเทศ โดยเฉพาะการวิจัยในส่วนใบ จะเห็นได้ว่า
งานวิจัยจากทัว่ โลกจนถึงปจั จุบันยังไม่มีข้อมูลการศึกษาระดับการศึกษาในคน (clinical trial) ส่วนใหญ่
จะเป็นงานวิจัยในระดับหลอดทดลอง และสารสกัดส่วนใหญ่ที่วิจัยจะเป็นสารสกัดจากแอลกอฮอล์ มี
งานวิจัยที่พบว่าสารสำคัญที่สกัดได้จากใบด้วยตัวทำละลายที่ไม่มีขัว้ (เช่น hexane, chloroform) หรือมี
ขัว้ น้อยถึงปานกลาง (ethanol, methanol, butanol) มีฤทธิย์ ับยัง้ เซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง
ซึ่งสารเหล่านั้นคือ สารกลุ่ม annonaceous acetogenins, alkaloids, styryllactones ซึ่งสารดังกล่าวเป็น
สารที่ไม่มีขัว้ หรือมีขัว้ น้อย สารดังกล่าวจะไม่ถูกสกัดออกมาด้วยน้ำ


จากงานวิจัยของ Champy และคณะ (2005) ได้ทำการวิเคราะห์สาร annonacin (ซึ่งเป็นสารที่
พบได้มากที่สุดในสารกลุ่ม annonaceous acetogenins ประมาณ 70%) ในเนื้อผล ชาชง น้ำต้ม และ
สารสกัดเมทานอลจากใบ โดยวิธี reversed phase high pressure liquid chromatography (RP HPLC)
ร่วมกับ matrix-assisted laser desorption-ionization mass spectrometry (MALDI MS) หรือ LC-MS
พบว่า สาร annonacin จะถูกสกัดออกมาในรูปแบบชาชง และน้ำต้มได้น้อยกว่าเนื้อผล ประมาณ 100
เท่า และการที่สาร annonacin ถูกสกัดออกมาได้ด้วยน้ำร้อน เนื่องจากสารนี้มีจุดหลอมตัวต่ำ (ประมาณ
64 oC)5 ซึ่งจากงานวิจัยของ Fidianingsih และคณะ (2014) ได้สนับสนุนว่าชาชงใบทุเรียนเทศ มีฤทธิ์
เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด T47D ได้บ้างแต่น้อยกว่าสารมาตรฐาน tamoxifen 274 เท่า (มีค่า
IC50= 31,384.21 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ส่วนสาร tamoxifen มีค่า IC50 = 114.52 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร)
แสดงว่าอาจจะมีสาร annonaceous acetogenin ละลายออกมาในน้ำร้อนได้บ้าง6

งานวิจัยของ Gavamukulya (2014) พบว่า สารสกัดจากใบทุเรียนเทศด้วยน้ำ (อุณหภูมิห้อง)
ไม่มีฤทธิย์ ับยัง้ การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับชนิด Ehrlich Ascites Carcinoma ในทุกความเข้มข้น
ขนาด 250, 500, 750, 1000, และ 1250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) แต่สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิย์ ับยัง้ ได้
โดยมีค่า IC50 = 335.85 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดน้ำมีฤทธิต์ ้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสกัด
แอลกอฮอล์ โดยมีค่า IC50 = 0.9077 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ส่วนสารสกัดแอลกอฮอล์มีค่า = 2.0456
มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ซึ่งกลุ่มสารที่พบได้ในทัง้ สองสารสกัดคือ alkaloids (ถ้าอยู่ในรูปเกลือจะละลายน้ำได้
แต่ถ้าอยู่ในรูปอิสระจะไม่ละลายในน้ำ), flavonoids, terpenoids, coumarins และ lactones,
anthraquinones, tannins, Cardiac glycosides, phenols, phytosterols, และ saponins7 เช่นเดียวกับ
งานวิจัยของ Arthur และคณะ (2011) ที่พบว่าน้ำต้มประกอบด้วยสารกลุ่ม saponins, condensed
tannins, flavonoids และสาร glycosides อื่นๆ8

แต่จากงานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า สารสกัดน้ำจากใบทุเรียนเทศมีผลต่อ
เซลล์มะเร็งตับ โดยมีผลฆ่าเซลล์มะเร็งตับได้ โดยเฉพาะน้ำต้มจากใบแห้ง ส่วนน้ำคัน้ จากใบสดมีผล
เช่นเดียวกันแต่มีพิษต่อเซลล์ตับปกติด้วย ถ้าจะวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยนี้ โดยอ้างอิงงานวิจัยที่ได้
กล่าวมาข้างต้น แสดงว่าสารสำคัญในน้ำต้มใบทุเรียนเทศอาจจะเป็นสารกลุ่ม annonaceous
acetogenins ที่ละลายออกมาได้บ้างด้วยน้ำร้อน ส่วนในกรณีน้ำคัน้ ใบทุเรียนเทศ สารออกฤทธิอ์ าจจะ
เป็นสารกลุ่มอื่นที่มีขัว้ เช่น flavonoid glycosides, phenolic compounds, saponins, tannins7-9

ในฐานะผู้เขียนเป็นนักพฤกษเคมีที่ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับพืชสมุนไพรที่มีชื่อว่า “ข้าวหลาม
Goniothalamus marcanii Craib” ซึ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกับทุเรียนเทศ คือวงศ์ Annonaceae โดยได้
วิจัยและพัฒนาสารจากเปลือกต้นข้าวหลามเพื่อเป็นยาต้านมะเร็ง งานวิจัยพบว่า สารสำคัญที่มีฤทธิเ์ป็น
พิษต่อเซลล์มะเร็งของคนหลายชนิด (เซลล์มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งสมอง และมะเร็งเต้านม) คือ
สารกลุ่ม annonaceous acetogenins และ 1-azaanthraquinones ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารที่สกัดแยกได้
จากสารสกัดแอลกอฮอล์จากส่วนเปลือกต้น แสดงว่าสารสำคัญเหล่านี้เป็นสารที่มีขัว้ น้อย ถึงขัว้ ปาน
กลาง จึงสามารถถูกสกัดได้ด้วยตัวทำละลายที่มีขัว้ น้อยหรือขัว้ ปานกลาง และงานวิจัยนี้ได้พิสูจน์ให้เห็น
ว่าสารสกัดด้วยน้ำ (อุณหภูมิห้อง) ไม่มีฤทธิเ์ป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง

การศึกษาความเป็นพิษของนํ้าต้มจากใบทุเรียนเทศ
การศึกษาความเป็นพิษของน้ำต้มจากใบทุเรียนเทศโดยป้อนให้หนูขาว พบว่า ค่า LD50 มีค่า <5
กรัม/กิโลกรัม ถือได้ว่าน้ำต้มใบทุเรียนเทศมีความปลอดภัย (จากการคำนวน การดื่มครัง้ ละ 1 ถ้วยชา
วันละ 3 เวลา จะได้รับสารสกัดน้ำต้ม 211 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน)

การศึกษาความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของน้ำต้มใบทุเรียนเทศในหนูขาวทัง้ เพศผู้และเพศเมีย เป็น
เวลา 14 วัน พบว่า ขนาดความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลลดน้ำตาลในเลือด และไขมันใน
เลือดได้ โดยเฉพาะ low density lipoprotein (LDL-cholesterol) และเพิ่มระดับของ high density
lipoprotein (HDL-cholesterol) โดยไม่เป็นพิษต่ออวัยวะต่างๆของร่างกาย แต่ขนาดความเข้มข้น 1,000
มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลทำให้น้ำหนักตัวหนูลดลง และทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น และขนาดความ
เข้มข้น 2,500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลเป็นพิษต่อไต ทำให้ระดับเอนไซม์ creatinine สูงขึ้น ผลงานวิจัยนี้
แสดงว่าการบริโภคน้ำต้มใบทุเรียนเทศในปริมาณน้อยจะเป็นประโยชน์ทัง้ เรื่องน้ำตาลในเลือดและระดับ
ไขมันในเลือด ส่วนการบริโภคในปริมาณที่มากจะเป็นพิษต่อไตและมดลูก ฉะนั้นหญิงตัง้ ครรภ์ห้าม
รับประทาน


2. รูปแบบยาผง หรือ ยาทิงเจอร์ใบทุเรียนเทศ รักษามะเร็งได้จริงหรือ?
สรุป ผลการวิจัย รูปแบบยาผงหรือยาทิงเจอร์ใบทุเรียนเทศ รักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือ?
การบริโภคใบทุเรียนเทศในรูปแบบยาผง หรือ ยาทิงเจอร์ใบทุเรียนเทศ อาจมีผลในการรักษา
โรคมะเร็งได้จริง เนื่องจากมีงานวิจัยทัง้ การศึกษาในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง และพบว่า
สารสำคัญคือสารกลุ่ม annonaceous acetogenins และสารกลุ่มแอลคาลอย์ แต่สารกลุ่ม
ดังกล่าวพบว่าถ้ารับประทานในปริมาณมากและระยะเวลานานจะก่อเกิดพิษต่อเนื้อเยื่อสมอง ทำ
ให้เกิดอาการ atypical parkinsonism และเกิดไตวายได้ด้วย

มีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่ศึกษาในสารสกัดแอลกอฮอล์ของใบทุเรียนเทศ (หรือรูปแบบยา
ทิงเจอร์ หรือยาดอง) พบว่า สารประกอบทางเคมีส่วนใหญ่ที่พบในสารสกัดแอลกอฮอล์จากใบคือ สาร
กลุ่ม annonaceous acetogenins และสารกลุ่ม isoquinoline alkaloids ซึ่งสารกลุ่ม annonaceous
acetogenins ที่สกัดได้จากส่วนใบมีมากกว่า 30 ชนิด เช่น annonacin3,4 (เป็นสารหลัก พบได้มากกว่า
70%), annonacin-10-one, annonacin A, annomutacin4, isoannonacin3, isoannonain-10-one3,4,
annomuricin C, annopentocins A-C, annocatacin A และ B4, Bullatacin3, goniothalamicin,
gigantetrocin A3,4, gigantetronenin4, muricoreacin, murihexocin A-C3,4,12, muricatetrocins A และ
B, muricatocins A-C4, annohexocin12,13, annomuricins A และ B4 ส่วนสารกลุ่ม isoquinoline
alkaloids ที่พบได้แก่ reticuline, coclaurine, coreximine, atherosperminine, stepharine, anomurine
และ anomuricin12 ซึ่งสารเหล่านั้นเป็นสารที่มีฤทธิย์ ับยัง้ เซลล์มะเร็งทัง้ ในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง

การศึกษาในหลอดทดลอง
สารสกัดต่อเนื่องด้วยตัวทำละลาย hexane, ethyl acetate และ methanol จากส่วนใบ พบว่า
สารสกัด ethyl acetate มีฤทธิใ์ นการยับยัง้ การเจริญของเซลล์มะเร็งปอดชนิด A549 ได้ดีที่สุด โดยมี
กลไกหยุดยัง้ การแบ่งตัวของเซลล์ (cell cycle arrest) และทำให้เซลล์ตายแบบ apoptosis โดยผ่าน
กระบวนการ mitochondrial-mediated signaling pathway ซึ่งเกี่ยวข้องกับ NF-kB signalling
pathway

สารสกัดเอทานอลจากใบ มีผลเป็นพิษต่อเซลล์ท่อน้ำนมชนิด T47D (Human ductal breast
epithelial tumor cell line) โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 17.149 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร1
สารกลุ่ม annonaceous acetogenins ได้แก่ annonacin, isoannonacin, isoannonain-10-one,
goniothalamicin และ gigantetrocin มีฤทธิเ์ป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งอวัยวะต่าง ๆ ของคน (human tumor
cell lines) หลายชนิด ได้แก่ เซลล์มะเร็งปอด (A549 lung carcinoma), เซลล์มะเร็งเต้านม (MCF-7
breast carcinoma), และเซลล์มะเร็งลำไส้ (HT-29 colon adenocarcinoma) ส่วนสาร muricoreacin
และ murihexocin มีฤทธิเ์ป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งตับอ่อน (PACA-2 pancreatic carcinoma) และ
เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก (PC-3 prostate adenocarcinoma cell lines)13 สาร bullatacin และสาร
acetogenins อื่นๆ มีผลยับยัง้ การสร้าง adenosine triphosphate (ATP) ซึ่งจะมีผลในการยับยัง้ เนื้องอก

ที่ดื้อยา3 สาร annohexocin มีฤทธิเ์ป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ เซลล์มะเร็งปอด เต้านม
ลำไส้ ตับอ่อน ไต โดยเฉพาะต่อมลูกหมาก โดยมีค่า ED50 เท่ากับ 0.0195 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สาร
มาตรฐาน adriamycin มีค่า ED50 เท่ากับ 0.0310 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร แสดงว่าสาร annohexocin มี
ฤทธิด์ ีกว่าสาร adiamycin

ในปี ค.ศ. 1976 สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้ศึกษาฤทธิย์ ับยัง้ เซลล์มะเร็ง (ใน
หลอดทดลอง) ของสารกลุ่ม annonaceous acetogenins ที่สกัดได้จากใบและลำต้น พบว่า สารกลุ่ม
ดังกล่าวมีผลเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน มะเร็ง
ลำไส้ มะเร็งตับ และมะเร็งชนิดที่ดื้อต่อยา งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวไต้หวันพบว่า สาร
annonacin เป็นสารสำคัญที่มีฤทธิย์ ับยัง้ เซลล์มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งกระเพาะปสั สาวะ และ
มะเร็งผิวหนัง2 นักวิจัย Fidianingsih และคณะ (2014) พบว่าสารกลุ่ม annonaceous acetogenins มี
ฤทธิย์ ับยัง้ เซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ
อ่อน มะเร็งลำไส้ และมะเร็งที่ดื้อต่อยา


การศึกษาในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม: สารสกัด 70% เอทานอลจากใบ ในขนาดยา 100 มิลลิกรัม/
มิลลิลิตร/วัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยการป้อนให้หนูถีบจักรตัวเมีย ที่ทำให้เป็นมะเร็งเต้านมด้วยสารก่อ
มะเร็ง 7,12-dimethylbenz[a]anthracene (DMBA) พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิป์ ้องกันการเกิดมะเร็ง
เต้านมได้ และพบว่าสารสกัดดังกล่าวประกอบด้วยสารกลุ่ม polyphenol เป็นสารหลัก15
ฤทธิ์ต้านเนื้องอกทีล่ ำไส้: สารกลุ่ม acetogenins มีฤทธิล์ ด colon crypts ของหนูที่เหนี่ยวนำให้
เกิดด้วยสาร azoxymethane (Azo)12
ฤทธิ์ต้านเนื้องอกทีป่ อด: สาร annonacin ขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีฤทธิต์ ้านเนื้องอกที่
ปอดได้ดีเทียบเท่ากับยา adiamycin แต่ปลอดภัยกว่า

ความเป็นพิษของสารสกัดเอทานอลใบทุเรียนเทศและสารกลุ่ม annonaceous
acetogenins
การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเอทานอล (95%) พบว่าเมื่อป้อนให้หนูถีบจักร มี
ค่า LD50 เท่ากับ 1.67 กรัม/กิโลกรัม4 มีงานวิจัยพบว่า การป้อนสารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 10, 20,
และ 40 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 40 วัน มีผลทำให้ไตวายได้ 13 การป้อนสาร annonacin แก่หนูขาว
เป็นเวลานาน จะเกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อสมอง และเกิดอาการ atypical parkinsonism3 โดยมี
กลไกทำให้เกิดความผิดปกติที่ substantia nigra และ basal ganglia ซึ่งความเป็นพิษนี้จะมีมากกว่าสาร
reticuline ซึ่งเป็นสารกลุ่มแอลคาลอยด์ (benzyl-tetrahydroisoquinoline) 1,000 เท่า และมากกว่าสาร
1-methyl-4-phenylpyridinium (MPP+) (สารที่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาท) ประมาณ 100 เท่า






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น